“ตั้งครรภ์ได้แปดสัปดาห์ ชวนพ่อของลูกไปจดทะเบียน เขาบอกไม่อยากจด ไม่รู้จะอยู่กันได้นานหรือเปล่า เราก็ตกใจ เดิมทีเขาบอกเราว่าอยากมีลูกด้วยกัน เราไม่อยากคลอดลูกออกมาแล้วต้องเลิกกับพ่อของลูก เพราะเราเองพ่อแม่เลิกกันตั้งแต่เด็ก ตอนนี้เราโมโหมาก รู้อย่างนี้ไม่ปล่อยให้ท้องกับผู้ชายคนนี้หรอก เราควรทำอย่างไรต่อไป?”
เรื่องนี้คงจะช่วยให้ผู้หญิงอีกมากมายที่กำลังก้าวเข้าสู่ความ สัมพันธ์กับคนรักเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ประเภทที่ “อยู่กินกันก่อนแต่ง” หรือที่ฝรั่งเรียกว่า “Premarital” ต้องกลับมาคิดพิจารณาใหม่ ว่ายามที่หญิงชายอยู่ในอารมณ์เสน่หา คำพูดหรือความปรารถนาที่กล่าวออกมาเป็นเรื่องจริงจัง หรือเป็นเพียงแค่อารมณ์พาไป เพราะในความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชาย โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุบรรลุนิติภาวะแล้ว ก็ต้องแยกแยะให้ชัดเจนระหว่าง “เรื่องจริงจังกับเรื่องเล่น ๆ” ไม่เช่นนั้นเรื่องเล่น ๆ จะกลายเป็นเรื่องจริงจัง และเรื่องจริงจังอาจฟังเป็นเรื่องเล่น ๆ หรือสองคนสื่อสารไม่ตรงกัน
โดยเฉพาะเรื่อง “การจะมีบุตร” ยากที่จะบอกว่า “เป็นเรื่องเล็ก” เพราะหมายถึง จะมีอีกชีวิตหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องในความสัมพันธ์ โดยที่ชีวิตน้อย ๆ ซึ่งเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชายคู่หนึ่งนั้น เลือกเกิดไม่ได้ว่าจะเกิดกับครอบครัวร่ำรวยหรือยากจน แต่คนที่เป็นพ่อแม่หรือผู้ให้กำเนิด สามารถกำหนดได้ว่า ตนเองพร้อมจะยอมรับภาระหน้าที่การเลี้ยงดูเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนคลอดออกมา และต้องดูแลจนเด็กคนนั้นสามารถลุกขึ้นยืนหยัดทำมาหากินช่วยเหลือตนเองได้ ซึ่งอาจใช้เวลามากกว่า 20 ปี เพราะฉะนั้นการจะตั้งครรภ์หรือมีบุตร จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและจริงจัง ที่ต้องอาศัยการตัดสินใจด้วยเหตุและผล เพื่อนำไปสู่การรับผิดชอบร่วมกันระหว่างคนที่ได้ชื่อว่าเป็น “สามีภรรยา” หรือคู่สมรส หรือพ่อแม่ของเด็ก
ที่ผ่านมา สถานภาพของสตรีส่วนใหญ่อยู่ในฐานะที่ต้องพึ่งพิงบุรุษ ผู้หญิงมากมายจึงต้องพยายามที่จะใช้วิธีการหลายอย่าง เพื่อจะได้ผูกใจบุรุษให้ตัดสินใจเลือกตน หรือรักเธอมาก ๆ และนาน ๆ ที่คนสมัยโบราณหรือคนรุ่นเก่าเรียกกันว่า “เสน่ห์ปลายจวัก” นั่นคือฝ่ายผู้หญิงเป็นแม่เหย้าแม่เรือน รู้จักเอาใจปรนบัติ่ฝ่ายชายให้รู้สึกสบายกายสบายใจจนไม่อยากทิ้งบ้านทิ้งผู้หญิงคนนี้ไปไหนนานๆ โดยเฉพาะรสชาติของอาหารถูกปาก ถูกใจชายให้มีความเสน่หาในตัวเธอมากยิ่งขึ้น
ซึ่งการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันและควบคุม กลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับฝ่ายหญิงมาโดยตลอด เนื่องจากผู้ชายส่วนใหญ่ไม่รู้จักถุงยางอนามัยหรือใช้ไม่เป็น ในขณะที่ผู้หญิงมักเข้าใจว่า การใช้ถุงยางอนามัยเป็นเรื่องของฝ่ายชาย หรือถุงยางอนามัยมีไว้ใช้กับผู้หญิงขายบริการเท่านั้น ซึ่งต่างจากสถานการณ์ปัจจุบัน ที่หญิงชายสามารถทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ หรือต้องออกทำงานช่วยกันเพื่อสร้างครอบครัว การตั้งครรภ์จึงต้องเป็นความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย และที่สำคัญคือการคุมกำเนิดสมัยนี้ มีทั้งยาคุมกำเนิด ถุงยางอนามัยสำหรับฝ่ายชาย หรือวิธีการที่จะใช้ในการคุมกำเนิดในช่วงฉุกเฉิน ที่หญิงชายสามารถเลือกได้เมื่อยังไม่พร้อม
ทั้งนี้ ปัจจุบันหญิงชายมีอิสรภาพในการเลือกคู่ หรือมีมากมายใช้ชีวิตคู่ อยู่ร่วมกันก่อนการสมรส หรือก่อนจดทะเบียนสมรสอย่างเป็นทางการ อาจเพื่อจะได้มีโอกาส มีเวลาเรียนรู้จักกันทั้งอุปนิสัยใจคอ พฤติกรรม และความสัมพันธ์ว่าสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันต่อไปได้หรือไม่ และทั้งสองคน “รักกันจริง ๆ หรือเปล่า” ซึ่งพฤติกรรมการใช้ชีวิตร่วมกันก่อนการแต่งงานอาจมองเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับหญิงชายรุ่นใหม่ ที่ไม่ยอมให้เงื่อนไขของวัฒนธรรมประเพณี และความเชื่อของพ่อแม่ผู้ปกครองในอดีต มาเป็นอุปสรรคในการเลือกคู่สมรสด้วยตนเอง ด้วยเกรงว่า หากไม่รู้จักกันอย่างแท้จริงทั้งในเรื่องความสัมพันธ์ทางกาย/ทางเพศ และทางใจแล้ว ก็อาจส่งผลให้เลิกรากันในที่สุด ที่สำคัญทำให้หญิงชายมากมายที่มีประสบการณ์มาจากครอบครัวหย่าร้างแตกแยก หลีกหนีไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำกันนั้น ซึ่งความเชื่อที่ขาดสติและขาดความยั้งคิดก็อาจจะทำให้เหตุการณ์ที่ตนเองกลัว กลับมาเกิดขึ้นจริง ๆ ก็ได้ ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง ไม่ว่าหญิงชายจะไม่เคยรู้จักคุ้นเคยหรือไม่ได้รักกันมาก่อน หรือหญิงชายที่อยู่กินกันมาก่อน เชื่อว่ารู้จิตรู้ใจกันอย่างดี แต่เมื่อแต่งงานกันนานไป ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่กันรอดตลอด คู่สมรสมากมายแม้จะแต่งงานอยู่กันจนแก่เฒ่า สุดท้ายก็แยกกันไปต่างคนต่างอยู่ เพราะฉะนั้นวันเวลากับคำว่า “รู้จักกันดี” ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันให้ชีวิตคู่อยู่ถาวรกันตลอดไปได้
นั่นหมายความว่าการจะมีชีวิตคู่ที่มีความสุขราบรื่นหรือมีอุปสรรคปัญหา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในอดีตหรือการลองอยู่เพื่อรู้จักกันให้ดีก่อน ดังที่นิยมกันอยู่ในปัจจุบันเสมอไป แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตอย่างไรให้ลงตัว หรือมีการปรับตัวให้เข้ากันได้ โดยทั้งหญิงชายแสดงความรับผิดชอบเยี่ยงคนที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่เป็นผู้ใหญ่เพียงพอ และมีความกล้าที่จะเผชิญปัญหาไปทีละขั้นตอน เพราะปัญหากับชีวิตเป็นของคู่กัน
กรณีคุณผู้หญิงท่านนี้ เธอบอกว่า เธอรู้สึกเครียดเพราะเด็กในท้อง เนื่องจากเธอกำลังตั้งครรภ์ได้แปดสัปดาห์ และเมื่อเธอชวนฝ่ายชายไปจดทะเบียน เขากลับปฏิเสธและบอกว่า ไม่ต้องการเพราะคงอยู่ด้วยกันไม่รอด หรือไม่นาน จึงไม่จำเป็น ส่วนเธออึ้งไปด้วยความตกใจ ความวิตกกังวล ความไม่สบายใจและหวาดกลัวว่าตนเองจะทำอย่างไรกับเด็กในท้องต่อไป ทั้งที่เขาเองก่อนนี้ บอกเธอว่า อยากมีลูกกับเธอ เธอก็ตามใจเขา เอาใจเขา แต่วันนี้เขาเปลี่ยนไปเหมือนไม่ต้องการเด็ก และเขาไม่แน่ใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอจะไปรอด ดูเหมือนเขาจะไม่รับผิดชอบต่อคำพูดของตนเอง ที่ว่าต้องการจะมีลูกกับเธอ เธอรู้สึกโกรธเขา โมโห เสียใจ ผิดหวัง และที่สำคัญคือเธอรู้สึกโกรธตนเอง ที่ยอมตั้งครรภ์เพื่อเขา ไม่ใช่เพราะเธอต้องการเด็ก ทั้งที่เธอคือคนที่จะต้องแบกรับภาระการตั้งครรภ์ตลอดเก้าเดือนและ ถึงขณะนี้เธอมองว่า “เด็กในครรภ์” กลายเป็นปัญหาของเธอคนเดียว!
เธอบอกกับตัวเองว่า “รู้อย่างนี้ไม่ปล่อยให้ท้องกับผู้ชายคนนี้หรอก!” นั่นหมายความว่า ในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอ สิ่งที่เขาพูด บอกเธอ อาจไม่ใช่เรื่องจริงจัง ในขณะที่เธอต้องการที่จะมีลูกกับเขาจริง ๆ หรือเธอคิดว่า “การมีลูกจะช่วยทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอ มั่นคงปลอดภัยขึ้น” ในอีกความหมายหนึ่ง เป็นไปได้หรือไม่ว่า เธออาจต้องการใช้เด็กเป็นเครื่องมือผูกมัดความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอให้เป็นจริงมากกว่าความจริง?!?”
ความสัมพันธ์ที่คลุมเครือไม่ชัดเจน หรือการปล่อยไปตามอารมณ์ ทำให้เกิดความรู้สึกสับสนขัดแย้ง หวาดระแวงและไม่มั่นคง ซึ่งอาจส่งผลประทบต่อสภาพจิตใจและร่างกายของแม่และเด็กในครรภ์ มากกว่านั้นคือ ออกจะเป็นทางเลือกหรือการตัดสินใจที่ไม่ยุติธรรมสำหรับเด็ก และการจะใช้วิธียุติการตั้งครรภ์ก็ไม่ใช่ทางออกของปัญหา เพราะปัญหาความเครียดครั้งนี้ อยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชาย ก็คงจะถึงเวลาที่ฝ่ายหญิงจะต้องเริ่มในการเจรจาว่า ทั้งสองคนมีความจริงจังในความสัมพันธ์นี้แค่ไหนและเพราะอะไร โดยไม่นำเด็กในครรภ์มาเป็นเงื่อนไข แต่พยายามแก้ไขข้อบกพร่องระหว่างคนทั้งสองทีละขั้นตอน เพื่อปรับตัวเข้าหากัน เหมือนความตั้งใจครั้งแรกที่ต้องการรู้จักกันให้ดีก่อนการจดทะเบียนสมรส แต่มากกว่านั้น สุดท้ายเธอต้องทบทวนคำพูดของเขาว่าต้องการจะมีลูกด้วยกัน และวันนี้ก็มีมาแล้ว จะส่งเด็กกลับก็ไม่ได้ และไม่ว่าจะอยู่กันนานแค่ไหน สักขีพยานของความสัมพันธ์ได้เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เขาจะหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธได้ เขาอาจปฏิเสธที่จะไม่จดทะเบียนสมรสกับเธอ แต่จะปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่ “พ่อของลูก” คงไม่ได้! แต่การที่เขาจะรับผิดชอบหรือตกลงที่จะจดทะเบียนสมรสกับเธอนั้น คงไม่มีอะไรบังคับเขาได้เช่นกัน เพราะเป็นเรื่องของความสมัครใจ หรือแม้กระทั่งเรื่องลูก หากเขาจะตัดสินใจไม่รับรองบุตร หรือปฏิเสธก็คงทำได้เพราะการมาอยู่กินกันระหว่างคนสองคนครั้งนี้ เป็นเรื่องของคนที่บรรลุนิติภาวะแล้ว กฎหมายก็เอาผิดเขาไม่ได้ ทำได้อย่างดีที่สุดสำหรับคุณผู้หญิงในฐานะแม่ของเด็กในครรภ์ คือจะเจรจาต่อรองให้เขาทำหน้าที่หรือยอมรับผิดชอบส่งเสียเด็กในท้องได้อย่างไรบ้าง เพราะนั่นคือหน้าที่ของแม่ที่จะต้องปกป้องสิทธิของลูกของเด็ก นอกเสียจากฝ่ายหญิงจะมีฐานะอาชีพ มีหน้าที่การงานมีรายรับเพียงพอจะส่งเสียบุตรที่เกิดมาด้วยตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพิงใคร และไม่ต้องการความช่วยเหลือจากฝ่ายชาย ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้หญิงเป็นหลักเช่นกัน!