มูลนิธิศูนย์ฮอทไลน์ ปรึกษาปัญหาชีวิต และโรคเอดส์ โทรฟรีทั่วประเทศ

ครอบครัว....ความรัก....และความรุนแรง (ตอน) ผู้หญิงกับจินตนาการทางเพศ

15 ธันวาคม 2563
ครอบครัว....ความรัก....และความรุนแรง (ตอน) ผู้หญิงกับจินตนาการทางเพศ

เพราะผู้คนในสังคมไทย ไม่มีความรู้เรื่องเพศสัมพันธ์หรือเซ็กซ์ เพียงพอที่จะพูดถึงเรื่องนี้กันได้อย่างเปิดเผย เซ็กซ์จึงกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนอยากรู้แต่ปิดประตูพูด โดยเฉพาะมองว่าผู้หญิงดี ๆ ไม่พูดเรื่องเซ็กซ์  ปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้ชาย นั่นคือเพศชายสามารถพูดถึงและแสดงความต้องการทางเพศได้  ในขณะที่ผู้หญิงพูด จะถูกมองว่าเป็นเรื่องไม่ดี ไม่มีสิทธิพูด หรือไม่สามารถแสดงออกถึงความต้องการของตนเองได้  แม้ในยามที่อยู่ตามลำพังคนเดียว  เจ้าความรู้สึกผิดจากการที่ถูกอบรมเลี้ยงดู ให้มีความเชื่อว่าเซ็กซ์ไม่ใช่เรื่องสำคัญของผู้หญิง ก็ยังติดตามรบกวนให้สับสนและอับอายได้ทุกครั้งไป ดังในกรณีนี้

 

ดิฉันอายุ 41 ปี ทำงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง  ดิฉันได้รู้จักกับผู้ชายคนหนึ่ง  เขาเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดีมาก มีครอบครัวแล้ว แต่ดิฉันก็ยังอดชอบเขาไม่ได้  ดิฉันพยายามหักห้ามใจตนเอง และไม่เคยแสดงออกมามากกว่าความเป็นเพื่อน  ดิฉันพยายามที่จะสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง  โดยจินตนาการว่าเขากอดและจูบ  มันเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นอย่างที่ดิฉันไม่เคยได้รับมาก่อน แต่บางครั้งจินตนาการแล้วจะรู้สึกผิดและละอายมาก  อ่านหนังสือบางเล่มบอกว่าการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองไม่ใช่สิ่งผิดที่น่าละอาย  แต่ก็รู้สึกเหมือนว่าเราเป็นผู้หญิงร่านที่ไม่มียางอาย  เพราะดิฉันถูกเลี้ยงมาแบบค่อนข้างโบราณ  ขอความกรุณาช่วยตอบด้วยค่ะ

 

กรณีนี้ผู้เขียนได้ตอบกลับไปแล้ว แต่เห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ และเป็นข้อมูลความรู้ที่ดีสำหรับทุกคน ทั้งคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ ซึ่งโดยปกติหญิงชายส่วนใหญ่จะมีคนที่ตรง “สเป็ค” เราอยู่ในใจ เหมือนภาพของความฝันที่เราสะสมจากที่ได้ยินได้ฟังได้พบได้อ่านพบคุณสมบัติหลาย ๆ อย่างรวมกันเป็น “ชายในฝันหรือหญิงในฝัน” ของเรา เป็นรสนิยมหรือจะเรียกว่าเป็นรูปแบบคุณลักษณะที่ถูกใจเรามากเป็นพิเศษ วันดีคืนดีมีคนคนหนึ่งเดินผ่านเข้ามา หลายคนบอกแก่ตนเองว่า “อยากกรี๊ด!”  เพราะถูกใจ ได้เจอคนที่เราฝันวันนี้เอง

ถ้าอยู่ในกลุ่มสาวรุ่น ๆ  ก็คงวี๊ดว้ายกันลั่นไปเพราะความปลื้ม  เหมือนอย่างที่เราเห็นภาพวัยรุ่นกรี๊ดร้องกันวุ่นวาย กับทีท่าหรือเสียงร้องของนักร้องหรือดาราคนโปรดบนเวที  เป็นอารมณ์และความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้กับทุกเพศและทุกวัย  ส่วนจะเก็บเอาไป “ฝันหวาน” ต่อหรือไม่ก็แล้วแต่คน

ส่วนที่เราเห็นหรือรับรู้กันเรื่อยมา กรณีที่ทหารหนุ่มน้อยใหญ่เวลาไปอยู่ชายแดนเปลี่ยวเปล่าหนาวเหน็บเดียวดายกลางป่า  ก็จะมีภาพ “สาว ๆ นางแบบนุ่งน้อยห่มน้อย” แปะอยู่ข้างฝาเป็นเพื่อนคลายเหงา  ที่เราเรียกกันว่า “ชุดปลุกใจเสือป่า!”  เพื่อเสริมสร้างจินตนาการทางเพศ  เป็นการคลายความเครียด ความเงียบเหงาเดียวดายนั่นเอง

 พฤติกรรมของ “หนุ่ม ๆ” ทั้งในเมือง นอกเมือง นับเป็นเรื่องปกติที่ยอมรับและพูดถึงกันได้ แต่ไม่มีใครกล้าที่จะพูดถึงความต้องการของผู้หญิง ซึ่งก็เป็นสิทธิ  อารมณ์ ความรู้สึก หรือความต้องการ ที่ไม่แตกต่างจากชาย เพียงแต่ขนบธรรมเนียมประเพณีและทัศนคติ ที่ยับยั้งให้ผู้หญิงไม่กล้าแสดงออกหรือพูดความนัยออกมา  เพราะเกรงจะถูกวิจารณ์ว่าขาดความสำรวมหรือถึงขั้นกล่าวหาว่า “ร่าน”  ดังเช่นหญิงสาวคนนี้  ที่เธอรู้สึกกับพฤติกรรมและความคิดของเธอ

แน่นอน การจินตนาการทางเพศไม่ใช่ความผิด  เป็นสิทธิส่วนบุคคล  แม้ว่าชายนั้นจะมีครอบครัวแล้ว  เพราะเป็นอารมณ์และความรู้สึกส่วนตัว เป็นความพึงพอใจที่เกิดขึ้น เหมือนเดินเข้าไปในความฝัน ในโลกที่ไม่มีใครจะก้าวเข้าไปถึง นอกจากตัวเรากับใครสักคนที่เราพึงพอใจ ที่เรารอคอยอยู่ แล้วความปรารถนาส่วนลึกก็ถูกปลดปล่อยออกมา และตราบเท่าที่เราพบว่าความฝันนั้นทำให้เรามีความสุขได้ ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่เสียสุขภาพ ไม่สับสนระหว่างความเป็นจริงกับจินตนาการ ไม่ว่าใคร ๆ ก็ไม่มีสิทธิ์จะวิจารณ์

หากแต่ผู้หญิงรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำ เพราะเติบโตมาในครอบครัวที่สอนสั่งว่า“ผู้หญิงดี ๆ ไม่พูดเรื่องเพศ”   หรือไม่ควรหมกมุ่นเรื่องเพศ ไม่แสดงออกถึงความต้องการทางเพศ  เป็นต้น เหตุผลสำคัญในการห้ามปรามผู้หญิง  ก็คงเพราะคนส่วนใหญ่  ทั้งในอดีตและปัจจุบันก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องเพศสัมพันธ์และความสัมพันธ์ระหว่างเพศเพียงพอที่จะอธิบายในรายละเอียดได้ จึงต้องใช้การห้ามปรามเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันหากเรายอมรับความเป็น “ปุถุชน” หรือคนธรรมดาทั่วไปที่ประกอบด้วยความรัก โลภ โกรธ หลง  มีความต้องการทางเพศเหมือน ๆ คนหรือสัตว์ทั่วไป เพียงแต่ความเป็น “คนหรือมนุษย์” ทำให้สามารถแยกแยะถูกผิดได้ดีกว่า มากกว่าสัตว์โลกทั่วไป หากทุกอย่างกระทำภายในขอบเขตของคุณธรรมและศีลธรรมแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายที่จะยอมรับความต้องการตามธรรมชาติของตนเอง

หลังจากได้ตอบจดหมายคุณสุภาพสตรีท่านนี้ไปแล้ว  เธอตอบกลับมาว่า 

 

ขอบคุณอาจารย์อรอนงค์ที่กรุณาตอบคำถาม  ดิฉันไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง  แม้แต่เพื่อนสนิทที่สุด แม้แต่จะเขียนอีเมล์ฉบับนี้  ดิฉันก็ชั่งใจอยู่หลายวัน  เมื่ออ่านทวนข้อความก่อนส่ง ก็ยังรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้หญิง เขียนแบบนี้ได้อย่างไร  เหมือนไม่มีความยับยั้งชั่งใจ ไม่มียางอาย  และไม่กล้าคาดหวังว่าอาจารย์จะตอบ แต่เมื่อได้รับเมล์ตอบกลับ  รู้สึกดีใจที่สุดที่จะไม่ต้องทนเก็บเรื่องราวนี้ไว้คนเดียว  ขอบคุณมากและขอถามต่อดังนี้ค่ะ

  1. การจินตนาการถึงดาราชาย ในชีวิตจริงเราไม่ต้องเจอตัวจริง แต่จินตนาการถึงคนที่เรารู้จักเวลาเจอหน้าจะรู้สึกอายมากช่วยแนะนำด้วยค่ะ
  2. กลัวว่าเมื่อช่วยตัวเองแล้วมีความสุขจะติดใจ กลายเป็นการเสพติดชนิดหนึ่ง มีผลเสียอย่างไรหรือไม่  หรือควรทำถี่ห่างแค่ไหนถึงจะเหมาะสม
  3. ช่วยแนะนำว่าทำอย่างไรจึงจะปรับความรู้สึกที่มีต่อเขาให้เป็นแบบเพื่อนหรือพี่ชาย  ทุกครั้งที่อยู่ใกล้เขา  จะเกิดความรู้สึกหวิว  และดิฉันละอายตนเองทุกครั้งที่มีความรู้สึกแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่เขาให้แต่ความเป็นเพื่อน  แต่เราเป็นฝ่ายรู้สึกไปข้างเดียว
  4. เมื่อรู้สึกว่าเขามีให้แค่ความเป็นเพื่อน  จะรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อย  ไม่มีค่าเลย  ทำอย่างไรจึงจะรู้สึกถึงคุณค่าของตนเองขอบคุณค่ะ”

หากเรามีจินตนาการ  มีความฝันหรือชอบฝันหวาน  เราต้องตระหนักและยอมรับในความเป็นจริง ว่านี่ไม่ใช่ความจริง ความฝันเวลากลางคืนหรือในวาระที่เราอยู่ตัวคนเดียวกับความจริงท่ามกลางคนทั่วไป  เราย่อมมีความสามารถหรือจะต้องควบคุมตนเองให้ได้ตามความเหมาะสม  เพราะฉะนั้นในที่ทำงานหากเราแน่วแน่มั่นคงในการทำงานตามหน้าที่ และตระหนักว่า นี่ไม่ใช่เวลาที่จะฝันหวาน ก็คงไม่มีเวลามาคิดฝันได้  โดยเฉพาะในความเป็นจริงที่เราต้องยอมรับคือ “เขามีภรรยาแล้ว!” เราแทบไม่มีสิทธิ์แม้จะคิดถึงเขาได้มากกว่านี้   ถ้าเราชัดเจนตรงนี้ ก็ไม่มีเรื่องน่าละอาย เพราะเราไม่ได้ก้าวข้ามเลยสิทธิ์ของเราเข้าไปในส่วนของเขา และเราไม่ได้ใช้เวลาที่ควรทำงานไปคิดฝันในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงาน

การสร้างโลกส่วนตัวหรือโลกในจินตนาการ ไม่ต่างจากการดูรายการโทรทัศน์  ดูแล้วสนุกพึงพอใจ  พอจบเรื่องจบตอนเราก็ปิดโทรทัศน์  ไม่หลุดลอยเข้าไปจนสูญเสียตนเองจากความเป็นจริง การทำอะไรที่เกินพละกำลังของตนเองหรือการหมกมุ่นมาก ๆ นาน ๆ ก็อาจกลายเป็นการ “เสพติด”  ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นจะทำอะไรก็คำนึงถึงสุขภาพตนเองด้วย หากกังวลว่าจะควบคุมตนเองไม่ได้ ก็ควรพยายามเปลี่ยนจากพฤติกรรมดังกล่าว เป็นการออกกำลังหรือหางานอดิเรกทำจะได้ไม่หมกมุ่น

เป็นเรื่องปกติเมื่อเราเข้าใกล้คนที่เราพึงใจเป็นพิเศษ  จะทำให้รู้สึกมีความสุข  อบอุ่นใจ หลายคนหูตาแพรวพราวขึ้นมา หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นยินดีที่จะเข้าใกล้ ได้จับต้อง ได้มองสิ่งที่เราชอบหรือปรารถนา แต่เพราะฝ่ายชายไม่ใช่คนโสด ความรู้สึกหวั่นไหววูบวาบเหล่านั้นเกิดขึ้นมาอย่างเปล่าประโยชน์  เพราะเราก็ต้องห้ามปรามควบคุมความรู้สึกของตนเองให้อยู่  ไม่เช่นนั้นตัวเราอาจทำให้เรา “หน้าแตก” ได้!

ที่สำคัญหากเราได้พบ  รู้จักหรือชอบใครมาก ๆ  สักคนหนึ่ง  และเขาเป็นคนโสด  ก็คงไม่มีปัญหาในการพยายามที่จะเข้าให้ถึงตัวเขา ได้มีโอกาสแสดงหรือบอกให้เขารับรู้ถึงความในใจของเรา  ได้มีโอกาสที่จะพยายามที่จะทำให้เขาชอบเราเช่นกัน  มันเป็น “สิทธิ์” ของคนโสดทุกคนที่จะไขว่คว้าหยิบจับสิ่งมีค่าที่เราอยากได้ เพราะเป็นเรื่องของความพอใจระหว่างคนสองคนที่มีอิสระ และไม่ใช่เรื่องเสียหน้า  ไม่ใช่เรื่องศักดิ์ศรี  หากเราจะชอบเขาแต่เขาไม่ชอบเรา เพราะเป็นเรื่องของความรู้สึก  เป็นอารมณ์  เป็นสิทธิ์ของแต่ละคน  การถูกปฏิเสธจากคนที่เราชอบ  ไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีคุณค่า  คุณค่าของเรานั้นอยู่ที่ตัวของตนเอง  ไม่ได้อยู่ที่คนอื่น เพียงเพราะเรารสนิยมไม่ตรงกัน  ไม่ได้หมายความว่า  เราจะเป็นคนไร้ค่าสำหรับเขา  เราก็ยังเป็นคนดีคนเดิม

ทว่า...ในกรณีที่ฝ่ายชายมีครอบครัวแล้ว  แสดงว่าเขาเลือกคนที่เขาพอใจจะอยู่ด้วยแล้ว ผู้หญิงที่เกิดไปชอบเขาก็ต้องรู้ว่า  เธอไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะเข้าไปแย่งหรือแข่งขันกับภรรยาของเขา  และการที่ไม่ได้เขา  หรือเขาไม่สนใจเรา ไม่ได้ทำให้เรากลายเป็นผู้แพ้หรือต้องรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า เพราะถึงเราจะมีค่าตีเป็นทรัพย์สินสูงมากแค่ไหน  เขาก็เลือกไม่ได้  เพราะเขามีภรรยาแล้ว  การดำเนินชีวิตของแต่ละคน  จึงต้อง “ชัดเจน”  ในขอบข่าย  บทบาทและสถานภาพของตนเอง จะได้ไม่สับสน


กลับด้านบน