สำหรับบุคคลที่กำลังศึกษาวิชาจิตวิทยาสาขาการให้คำปรึกษาแนะนำ หรือ Counseling และหรือนักสังคมสงเคราะห์ และหรือครูแนะแนว ที่จะทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำสำหรับเยาวชน เริ่มต้นครูอาจารย์ผู้สอนก็มักจะบอกว่า “ผู้ให้คำปรึกษาแนะนำนั้น ทำหน้าที่เปรียบเสมือนกระจกเงา ที่สะท้อนกลับให้ผู้มาปรึกษาได้แลเห็นตนเองทั้งด้านอารมณ์ ความรู้สึกและการกระทำของเขาเอง” ผู้ศึกษาส่วนใหญ่มักจะไม่เข้าใจ รู้สึกสงสัยว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร และทำไปเพื่ออะไร?”
ทำไปเพื่ออะไร? จากประสบการณ์ของนักวิชาชีพที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำ พบว่าผู้มีปัญหาส่วนใหญ่ตระหนักถึงปัญหาของตนเอง และรู้ถึงทางออกของปัญหาว่าเขาจะต้องทำอะไรต่อไป แต่มากมายไม่แน่ใจ ต้องการกำลังใจ ต้องการรู้ว่า คนอื่น ๆ คิดอย่างไร และหากมีปัญหาเหมือนเขา คนเหล่านั้นจะเลือกทางออกใด เหมือนเขาหรือไม่ และที่สำคัญ สิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นปัญหายิ่งใหญ่นั้น คนอื่น ๆ เห็นเหมือนเขาหรือไม่?
ผู้ที่มีปัญหาส่วนใหญ่ มักคิดเข้าข้างตนเองว่าถูกต้อง ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของฝ่ายตรงข้าม แต่ลึก ๆ แล้วเขาไม่แน่ใจและอยากให้มีคนยืนยันว่า ความคิดและการกระทำของเขานั้นถูกต้องหรือไม่ คนอื่นคิดอย่างไร ซึ่งคนอื่นในที่นี้อาจเป็นเพื่อน เครือญาติหรือคนรู้จักคุ้นเคย ซึ่งอาจมีความรักใคร่เกรงใจไม่อยากให้สะเทือนใจ จึงระมัดระวังที่จะไม่พูดอะไรที่ทำร้ายจิตใจผู้มีปัญหา แต่การไปพบนักวิชาชีพด้านจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ซึ่งเป็นคนอื่น มีความเป็นกลาง ไม่มีส่วนได้เสียกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น นักวิชาชีพจึงสามารถตอบคำถามหรือสะท้อนความคิด อารมณ์และพฤติกรรมของผู้มาปรึกษาได้อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งจะทำให้ผู้มีปัญหามองเห็นและตระหนักว่า ตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนในการทำให้เกิดปัญหามากน้อยแค่ไหน ที่สำคัญคือปัญหานั้น ๆ หรือพฤติกรรมของผู้มาปรึกษา ส่งผลกระทบต่อตนเองและคู่กรณีอย่างไรบ้างเช่นกัน
นั่นหมายความว่า คนกลางหรือผู้ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำ หรือนักวิชาชีพด้านจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ เป็นต้น อาจสะท้อนความจริงซึ่งอาจขัดแย้งกับความคิด ความต้องการของผู้มาปรึกษา แต่คนกลางมองเห็นพฤติกรรมและการกระทำเป็นอย่างไร ก็สะท้อนความเป็นจริงออกมาให้ปรากฏเฉกเช่นเงาสะท้อนจากกระจกเงาฉันใดก็ฉันนั้น ส่วนผู้มาปรึกษาจะชอบหรือไม่ชอบ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เพราะฉะนั้น ทักษะการสะท้อนอารมณ์และความรู้สึก จึงเป็นคุณสมบัติที่สำคัญลำดับต้น ๆ ของผู้ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำ ทั้งนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ จึงต้องมีความชัดเจน ซื่อตรงต่อหน้าที่และวิชาชีพของตนเอง โดยไม่ปล่อยให้ความสัมพันธ์ส่วนตัวหรือผลประโยชน์ส่วนบุคคล เข้ามาเกี่ยวข้องในการทำหน้าที่ให้บริการปรึกษาแนะนำ
อย่างไรก็ตาม การฝึกความเป็นกลางและชัดเจนในการใช้ทักษะการสะท้อนอารมณ์และความรู้สึกของผู้ใช้บริการกลับไป
ให้แต่ละคนมองเห็นตนเองได้ชัดเจน นอกจากจะช่วยผู้ใช้บริการให้ได้เรียนรู้จักตนเองมากขึ้นแล้ว การที่ผู้ให้คำปรึกษาแนะนำเข้าใจถึงหน้าที่ในการเป็นกระจกเงาส่องใจผู้คนแล้ว ยังเป็นการช่วยให้ผู้ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำ ไม่ต้องแบกรับภาระและปัญหาของผู้มาปรึกษาเอาไว้ ด้วยตระหนักในความหมายของกระจกเงาไว้ดังนี้
กระจกส่องใจ
กระจก.....ไม่เลือกที่จะสะท้อนภาพทุกชนิด ฉันใด
จิตใจ.....จงเอาเยี่ยงอย่างกระจก
กระจก.....รับรู้ แต่ไม่ยึดถือครอบครอง
ดังนั้น.....จึงไม่มีภาพใดใดหลงเหลือติดอยู่ในกระจก
สายฝน.....ในกระจก หาได้เปียกกระจกไม่
เปลวไฟ.....ในกระจก ก็หาได้เผาลนกระจกไม่
ทั้งนี้.....เพราะกระจกไม่ให้อำนาจแก่สายฝน และเปลวไฟ
จงทำจิตใจของท่านให้เป็นดุจการรับรู้ของกระจก เพราะถ้าหากจิตของท่าน หลงยึดถือหรือตกเป็นทาสของกิเลสเมื่อใด ความทุกข์ ความเศร้าหมองใจย่อมตามมา เมื่อนั้น
นี่คือ มรรควิธีแห่งการเพ่งพิจารณาและรับรู้สรรพสิ่งด้วยใจที่สงบบริสุทธิ์ ว่างเปล่าจากการปรุงแต่ง เพื่อปลดปล่อยจิตใจให้ว่างเปล่า หลุดพ้นไปจากภาพมายาธรรมต่าง ๆ ที่คอยฉุดรั้ง หลอกลวงจิตไม่ให้เห็นถึงความจริง ซึ่งจะต้องพยายามทำจิตให้หลุดพ้นจากการยึดติดในสิ่งทั้งปวง เปรียบเสมือนกระจก ฯ
(คุณทัสสี ภิกขุ)
จะเห็นว่า หลักคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากความหมายที่ท่านผู้ทรงศีล “คุณทัสสี ภิกขุ” ได้อธิบายถ่ายทอดถึงการฝึกจิตไว้นี้ ไม่ต่างจากการทำงานของนักวิชาชีพด้านสังคมจิตวิทยา ซึ่งจะต้องได้พบได้รับฟังปัญหาของผู้คนมากมาย จึงจำเป็นต้องปล่อยใจว่าง ฝึกให้จิตเป็นกลาง ไม่ยึดติดในเรื่องหนึ่งเรื่องใด เปรียบเป็นเช่นกระจกเงา แม้สะท้อนเปลวไฟหรือสายฝน ย่อมไม่ทำให้กระจกเงานั้นเปียกน้ำหรือถูกแผดเผาด้วยเปลวไฟได้ ฉันใดก็ฉันนั้น
จากประสบการณ์ทำงานเป็นนักวิชาชีพให้บริการปรึกษาแนะนำ เพื่อน ๆ เครือญาติและผู้คนที่รู้จัก มักจะถามว่า “ทำหน้าที่รับฟังปัญหาผู้คนมากมาย จะไม่ทำให้เราต้องมีความเครียดหรือทุกข์ไปกับผู้มาปรึกษาหรือ?” เป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธว่าเราจะไม่เป็นเช่นนั้น แต่ในฐานะของนักวิชาชีพ ก็ต้องเรียนรู้ที่จะฝึกใจตนเองให้ได้เปรียบดังกระจกเงาที่สะท้อนทุกอย่างออกไปไม่เก็บไว้กับตัว แต่ช่วยให้ผู้มีปัญหาสามารถมองเห็นตัวของเขาได้ชัดเจน ตัวอย่างกรณีนี้
“ผมมีแฟนมาหลายคนครับ แต่ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมเดี๋ยวนี้หาผู้หญิงที่บริสุทธิ์ยากเหลือเกิน จนมาวันหนึ่งผมเจอผู้หญิงคนหนึ่ง ดูท่าทางเธอเรียบร้อยมากเลยครับ ผมก็เลยเริ่มจีบเธอ เธอดูอ่อนหวานนิ่มนวลมากจนทำให้ผมมั่นใจว่าคนนี้แหละที่ใช่แน่นอน! เราคบกันมาหนึ่งปี เธอก็สงวนทีท่ามาโดยตลอด จนมีอยู่วันหนึ่งเราก็ไปเที่ยวค้างคืนด้วยกัน ซึ่งเป็นครั้งแรกของเรา ผมกะจะไม่ทำอะไรเธอแล้ว แต่สุดท้ายก็พลั้งพลาดจนได้ครับ จึงทำให้ผมรู้ว่าเธอไม่บริสุทธิ์ เพราะรู้สึกว่าหลวมมาก และในที่สุดเธอก็สารภาพกับผมว่า เธอเคยมีแฟนมาแล้วถึงสามคน ผมเลยคิดไม่ตกและเครียดว่า ผู้หญิงสมัยนี้ ผู้หญิงดี ๆ หายไปไหนหมดครับ ผมอยากได้แฟนที่บริสุทธิ์เพื่อมาเป็นแม่ของลูกมาก ผมควรหาได้ที่ไหนครับ ผมมีแฟนมาหลายคนครับ แต่ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมเดี๋ยวนี้ผู้หญิงที่บริสุทธิ์หาได้ยากจริง ๆ!”
จากปัญหาที่ปรึกษาผ่านทางเว็บไซด์มาโดยชายหนุ่มคนนี้ คนที่อ่านเนื้อเรื่องแล้วก็อาจจะรู้สึกเหมือน ๆ กัน เขาคิดว่าผู้หญิงดี ๆ คือผู้หญิงที่บริสุทธิ์ยังไม่เคยเสียพรหมจรรย์จนคืนวันแต่งงาน ซึ่งในอดีตอาจเป็นเรื่องปกติ ที่ผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัวจนกว่าจะได้แต่งงานกับคนที่เธอรักใคร่หรือพ่อแม่เลือกให้ ผู้หญิงในอดีตไม่มีทางเลือกนักเพราะการศึกษาน้อย ไม่มีงานทำพึ่งตนเองไม่ได้ แต่งงานแล้วก็ได้ชื่อว่าสามีเป็นเจ้าของชีวิต ในขณะที่ผู้ชายจะเกี่ยวข้องหรือผ่านผู้หญิง และมีเมียเก็บซ่อนไว้ จะกี่คนก็ได้ไม่เสียหาย แต่ชีวิตในสังคมหรือในโลกปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว ผู้หญิงมีการศึกษาสูงมีงานการทำพึ่งตนเองได้ มีสิทธิ์เลือกเป็นเลือกทำและเลือกคู่ที่ตนเองพอใจได้ ที่สำคัญคือเธอตระหนักในความจริงที่ว่า “ผู้หญิงดีไม่ได้อยู่ที่พรหมจรรย์ หรือการจะเป็นแม่ที่ดีของลูกนั้น ไม่ใช่เพราะเธอเป็นสาวบริสุทธิ์!”
ผู้หญิงสมัยใหม่สามารถแยกแยะได้ว่า ความต้องการทางเพศหรือความต้องการเซ็กซ์ เกิดขึ้นเพราะฮอร์โมนในร่างกาย เธอเสี่ยงที่จะมีเพศสัมพันธ์ตามความต้องการตามธรรมชาติ แต่ไม่ได้หมายความว่า เธอจะเลือกชายคนนั้นเป็นคู่สมรสเสมอไป เธอเสี่ยงเพื่อให้ได้ชายที่เธอถูกใจเท่าที่สิทธิ์ในการเลือกคู่ครองเป็นของเธอ เพราะฉะนั้นในกรณีนี้ที่ชายหนุ่มพูดเหมือนว่า เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่อยู่ในข่ายที่เขาจะเลือกเป็นคู่ครอง เช่นกัน เขารู้หรือไม่ว่าฝ่ายหญิงก็อาจไม่สนใจจะเลือกเขาเป็นคู่เช่นกัน หลังจากคืนนั้น และหลังจากที่คบหากันต่อไป เธอก็จะยิ่งรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขามากยิ่งขึ้น
จากที่เขาแสดงความคิดเห็น ผู้ให้คำปรึกษาแนะนำสามารถสะท้อนให้เขาได้ก้มลงมองตนเอง ว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ว่า เขาเป็นผู้ชายที่ไม่ตระหนักและไม่เคารพสิทธิสตรี เขามีความเชื่อแบบไทยโบราณว่า ผู้ชายทำอะไรไม่เสียหาย จะผ่านผู้หญิงมาสักกี่คนไม่เป็นไร แต่เขาต้องการแต่งงานเฉพาะกับผู้หญิงบริสุทธิ์เท่านั้น หากผู้ชายทุกคนในประเทศนี้คิดได้อย่างเขา ก็แน่ใจได้เลยว่า จะไม่เหลือผู้หญิงพรหมจรรย์ให้เลือกหรอก เพราะผู้ชายไทยประเภทเขานั้น ได้ชื่อว่า “เจอผู้หญิงคนไหน ก็ฟันดะ!” ดังที่เขาเล่ามา
ที่สำคัญมากกว่านั้นคือ ความคิดหรือทัศนคติเช่นนี้แหละ ที่นำไปสู่พฤติกรรมทางเพศของผู้ชายในการ ชอบที่จะฉวยโอกาส เอาเปรียบผู้หญิงในหลายรูปแบบ เพราะรู้ว่าเพศหญิงอ่อนไหว อ่อนแอ หากพลาดพลั้งไปก็ไม่กล้าจะเอาความเพราะมีความอับอาย ยิ่งทำให้ผู้ชายมากมายได้ใจ และหากเขายังต้องการที่จะให้สังคมนี้ มีผู้หญิงบริสุทธิ์เหลืออยู่ให้มาก ตัวเขาในฐานะเพศชาย ก็น่าจะเริ่ม ลด ละ เลิก พฤติกรรมเอาเปรียบทางเพศจากฝ่ายหญิงเสีย และหันมาเคารพในสิทธิความเสมอภาคระหว่างหญิงชายให้มากขึ้น เพื่อที่เราจะได้อยู่กันร่วมกันอย่างสันติสุข และหากเป็นไปได้ เขาก็ควรรักษาพรหมจรรย์ของตนเองเอาไว้ เช่นเดียวกับที่เขาคาดหวังจากฝ่ายหญิง