“สวัสดีค่ะ ตอนนี้หนูมีแฟนซึ่งคบกันมาสี่ปีแล้ว เขาเป็นแฟนคนแรกของหนูและมีความสัมพันธ์กันทางกาย เขาเป็นคนดีนะคะ แต่โดยส่วนใหญ่ในบางเรื่องของเขาหนูรับไม่ได้ เขาอารมณ์ร้อนโมโหร้าย พูดจาไม่เพราะ ไม่มีความรับผิดชอบในหลาย ๆ เรื่อง พูดจาไม่รู้เรื่อง ไม่มีเหตุผล เป็นคนที่ขี้หึงมากจนน่ารำคาญ ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้เลย เขาเคยตบตีหนูจนถึงขั้นเลือดตกยางออก คิ้วแตก หัวแตก ด้วยปัญหาแค่หนูไม่ได้รับโทรศัพท์ อยู่กับเพื่อนไม่สนใจเขา เวลาหนูไปพบเพื่อน ๆ ก็ต้องขออนุญาตทุกครั้ง และเขาต้องไปด้วยทุกครั้ง ถ้าเขาไปไม่ได้ หนูก็ไปไม่ได้ เพื่อนและคนรอบข้างเบื่อเขามาก ๆ รวมทั้งตัวหนูด้วย แต่เขาก็บอกนะคะว่าเขารักหนู แต่มันไม่เคยรู้สึกแบบนี้เลย
วันนี้เป็นวันที่หนูรู้สึกแย่มาก ๆ กับปัญหาชีวิตของหนูที่หนูไม่สามารถปรึกษาใครได้เลย เนื่องจากหนูไม่อยากให้พ่อกับแม่รับรู้เรื่องไม่ดี หนูรู้ว่าหนูทำผิดในหลาย ๆ เรื่อง พ่อกับแม่หวังไว้กับหนูมากแต่หนูกลับทำตัวแย่ ๆ คบผู้ชายไม่ดี เขาเป็นคนที่ขาดเรื่องเพศไม่ได้ หนูไม่รู้เหมือนกันว่าที่หนูคบกับเขาเพราะความสัมพันธ์ทางกาย หรือว่าหนูรักเขากันแน่ หนูไม่อยากเลิกเพราะเรื่องความสัมพันธ์นี่แหละค่ะ หนูกลัวว่าถ้าหนูมีคนรักใหม่ แล้วเขารู้ว่าหนูได้ผ่านอะไรมาบ้าง หนูกลัวเขาจะทิ้ง กลัวกลายเป็นคนที่ไม่มีค่ากับคน ๆ นั้น กลัวถูกคนอื่นมองว่าฟันแล้วทิ้ง ใจจริงคือ หนูอยากเลิกไปให้จบ ๆ แต่มันติดอยู่ที่ความสัมพันธ์ที่เคยมี ตอนนี้หนูอายุแค่ 21 ปี ยังเรียนไม่จบ และอีกอย่างหนูยังต้องเรียนที่เดียวกับเขาอีก ต้องคอยนั่งทำงานนู่น นี่ นั่น ให้ตลอด ต้องเจอหน้ากันทุกวัน แล้วแบบนี้จะทำใจได้ยังไงล่ะค่ะ จะรับมือกับคนประเภทนี้ยังไง ช่วยหนูที หนูไม่ไหวแล้ว และอยากจัดการปัญหาเหล่านี้ด้วยตัวของหนูเอง ขอบคุณค่ะ”
ในอดีตเมื่อประเทศไทยยังด้อยพัฒนา สถานภาพของผู้หญิงยังต่ำต้อย โอกาสในการเข้ารับการศึกษายังมีน้อย นั่นหมายความว่า ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง จะต้องอยู่ในมือของพ่อแม่ตั้งแต่แรกเกิดจนพ่อแม่เลือกสามีหรือผู้ชายให้ดูแลต่อไป เมื่อแต่งงานอยู่กินกับชายใด ชีวิตของผู้หญิงคนนั้นก็เหมือนอยู่ในกำมือของชายที่เป็นสามี จะลำบากยากจนหรือสามีเลวร้ายขนาดไหน ฝ่ายหญิงก็ต้องอดทน เพื่อรักษาชีวิตตนเองและลูกให้รอด โอกาสที่จะแยกทางเพื่อออกมาตั้งต้นชีวิตใหม่ หรือทำมาหากินด้วยตนเอง ยังเป็นไปได้น้อยหรือไม่มีทางเป็นไปได้เลยและการที่ต้องหย่าร้างหรือมีสามีใหม่ เป็นเรื่องที่สังคมไม่ยอมรับ และมองว่า ผู้หญิงไม่อดทนพอ หรือผู้หญิงไม่ดีจึงมีสามีหลายคน เป็นต้น เพราะฉะนั้นผู้หญิงจึงไม่มีทางเลือกในการดำเนินชีวิตเพื่อตนเองและลูกมากนัก
ครั้นเมื่อประเทศไทยมีการพัฒนาให้เท่าเทียมอารยประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้หญิงและชายมีโอกาสเท่าเทียมกันทางด้านการศึกษา และผู้หญิงมีการศึกษาสามารถทำงานเพื่อเลี้ยงชีพหรือทำงานเพื่อหาเงินมาช่วยเหลือครอบครัวได้มากกว่าที่ผ่านมา การศึกษาจึงเป็นสิ่งที่พ่อแม่และรัฐบาลทุกสมัยพยายามที่จะเสนอและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนตลอดมา
อย่างไรก็ตาม การเริ่มต้นพัฒนาทางการศึกษาในช่วงแรก ยังมุ่งจะให้กรุงเทพมหานคร หรือเมืองหลวงของประเทศไทยเป็นที่รวมของเศรษฐกิจและการศึกษา ปัญหาที่ตามมาคือ “ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงเทพมหานคร” นั่นคือมหาวิทยาลัยในทุกสาขาเริ่มต้นหรือสร้างขึ้นในกรุงเทพมหานคร และต่อมาในจังหวัดศูนย์กลางของภาค เช่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เมืองศูนย์กลางของภาคเหนือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น เป็นศูนย์กลางภาคออีสานหรือตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นต้น นั่นหมายความว่า ทุกครอบครัวที่อยู่ในทุกภาคของประเทศไทย ก็จะมุ่งไปเรียนที่มหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดศูนย์กลางภาคนั้น ๆ โดยเฉพาะเมื่อระบบการศึกษารวมศูนย์การสอบที่เดียว แต่นักศึกษาถูกกำหนดให้แยกกันไปเรียนตามภาคต่าง ๆ ตามลำดับคะแนนที่ตนสอบได้ นั่นคือคนเรียนเก่งมาก ๆ เท่านั้นจึงจะสอบผ่านเข้าไปเรียนในสถาบันที่ตนเลือกหรือต้องการได้ ที่เหลือขึ้นอยู่กับคะแนนที่ตนสอบได้ หรือหากสอบไม่ผ่านเข้าสถาบันใด ก็ต้องรอสอบในปีต่อไป
แน่นอน.....โอกาสทางการศึกษาได้เปิดขึ้นแล้ว เพื่อให้กุลบุตรกุลธิดาสามารถเรียนรู้และมีวิชาเพื่อนำมาใช้ในการทำมาหากินช่วยเหลือตนเองได้ต่อไป แต่ระบบการศึกษาที่เกิดขึ้นก็ได้สร้างความยุ่งยากสับสนให้แก่เยาวชนไทย ซึ่งในอดีตต่างเติบโตใช้ชีวิตในจังหวัดหรือชุมชนนั้น ๆ ของแต่ละภาค ซึ่งอาจแตกต่างกันทั้งภาษาพื้นบ้าน ขนบธรรมเนียมและความเชื่อ แต่ระบบการศึกษาที่ก้าวเข้ามาใหม่ ทำให้เยาวชนไทยทั่วทุกภาคเหมือนจะต้องจากบ้านและครอบครัว ไปกระจายกันอยู่ในภาคและจังหวัดที่สถาบันการศึกษานั้น ๆ ระบุเอาไว้ รวมทั้งคนที่มีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพมหานคร จำนวนมากก็อาจต้องย้ายไปเช่าหอพักที่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยหรืออยู่ในจังหวัดที่สถาบันการศึกษาที่ตนสอบเข้าเรียน
ผลที่เกิดขึ้นตามมาคือ เยาวชนไทยหรือวัยรุ่นส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะที่ผ่านมาต่างคุ้นเคยอยู่อาศัยและไปเรียนโรงเรียนใกล้ ๆ บ้าน มีพ่อแม่พี่น้องคอยช่วยเหลือดูแลใกล้ชิด ไม่เคยต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ตามลำพังในเมืองใหญ่ ปัญหาการต้องปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างไปทำให้เยาวชนไทยมีความเครียดเพิ่มขึ้นจากระบบการเรียนการสอนที่เข้มงวดในสังคมไทย นอกจากนั้นปัญหาการต้องปรับตัวกับเพื่อนใหม่ที่มาต่างครอบครัวต่างภูมิภาค ต่างความเชื่อและขนบธรรมเนียมประเพณี และที่สำคัญคือ การต้องปรับตัวกับการเรียนและการคบหาเพื่อนต่างเพศ ซึ่งสร้างความสับสนขัดแย้งและปัญหาเพศสัมพันธ์ระหว่างวัยรุ่นหญิงชาย ที่ต่างจากวัฒนธรรมความเชื่อในอดีตของสังคมไทย ดังกรณีที่เห็นได้ชัดเจนจากปัญหาของนักศึกษาข้างบนนี้
เธอเล่าว่า ได้คบกับแฟนหรือเพื่อนชายคนนี้มาสี่ปีแล้ว นั่นหมายความว่าเธออาจรู้จักเขา เมื่อเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยปีแรก จนปีนี้อาจอยู่ปีสี่ เป็นไปได้ที่เธอเป็นเด็กสาวที่มาจากครอบครัวต่างจังหวัด เพราะคบหากับเพื่อนชายมาสี่ปีแต่พ่อแม่ไม่รู้เรื่องนี้ ที่สำคัญคือ เธออาจได้ชื่อว่าเป็นเด็กหอ หรือเช่าห้องเช่าหออยู่ตามลำพังทำให้ฝ่ายชายสามารถไปมาหาสู่ได้ง่าย และนอกจากเธอจะเป็นเหยื่ออารมณ์ทางเพศของเขาแล้ว เขายังทำร้ายร่างกายเธอเสมอมา โดยที่เธอไม่กล้าจะเล่าให้ใครฟังโดยเฉพาะพ่อแม่ของเธอ
ในอดีตความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชายที่เป็นคนรักกัน สังคมคาดหวังว่าหญิงชายจะไม่เกี่ยวข้องทางเพศกันจนกว่าจะถึงวันแต่งงาน การคบหาเพื่อนต่างเพศของหญิงสาวมักจะอยู่ในสายตาพ่อแม่ ญาติ หรือเพื่อน ๆ อย่างใกล้ชิด แต่เมื่อหนุ่มสาวต้องออกจากบ้านมาอยู่หอพักตามลำพังในเมืองใหญ่ เช่นในกรุงเทพมหานครนั้น นักศึกษาหญิงชายจำนวนมาก มีความรู้สึกแปลกแยก โดดเดี่ยว เงียบเหงาเดียวดายและหวาดกลัว เมื่อพบเพื่อนต่างเพศที่ตนพึงพอใจ ก็หวังยึดไว้เป็นที่พึ่งทางกายและทางใจ โดยไม่รู้ประวัติหรือพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงของคนคนนั้นมาก่อน ต่อเมื่อมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเนิ่นนานไปจึงตระหนักถึงภัยและปัญหาที่เกิดขึ้น ดังกรณีที่เธอเล่าว่า
“เขาอารมณ์ร้อน โมโหร้าย พูดจาไม่เพราะ ไม่มีความรับผิดชอบในหลาย ๆ เรื่อง พูดจาไม่รู้เรื่อง ไม่มีเหตุผล เป็นคนที่ขี้หึงมากจนน่ารำคาญ ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้เลย เขาเคยตบ ตีหนูจนถึงขั้นเลือดตกยางออก คิ้วแตก หัวแตก ด้วยปัญหาแค่หนูไม่ได้รับโทรศัพท์ อยู่กับเพื่อนไม่สนใจเขา เวลาหนูไปพบเพื่อนๆ ก็ต้องขออนุญาตทุกครั้ง และเขาต้องไปด้วยทุกครั้ง ถ้าเขาไปไม่ได้ หนูก็ไปไม่ได้ เพื่อนและคนรอบข้างเบื่อเขามาก ๆ รวมทั้งตัวหนูด้วย แต่เขาก็บอกนะคะว่าเขารักหนู.....”
อย่างไรก็ตาม แม้เธอจะยอมรับว่า เธอเบื่อเขา ไม่ชอบพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง นิสัยอันธพาล หึงหวงอย่างไม่มีเหตุผล ไม่มีความรับผิดชอบอารมณ์รุนแรงและมีความต้องการทางเพศสูง การคบหาอยู่ด้วยกัน ทำให้เธอกลายเป็นเหยื่อ หรือกระสอบทรายให้เขาทำร้ายทุบตีเสมอมา ถึงกระนั้นเธอก็ไม่กล้าที่จะก้าวออกมา เพียงเพราะเขาบอกว่า “เขารักเธอ!” ส่วนเธอเองก็ไม่แน่ใจว่าทนอยู่กับเขาได้เพราะเธอรักเขา หรือเพราะเขารักเธอ หรือเพราะเขาและเธอมีความสัมพันธ์ทางเพศกันแล้ว การที่เธอตอบสนองต่อความต้องการทางเพศของเขา อาจหมายถึงการตอบสนองความต้องการทางเพศของตัวเธอเองด้วยเช่นกัน....ความรู้สึกสับสนขัดแย้งเหล่านี้ทำให้เธอวนเวียนอยู่กับการปล่อยตนเองให้ถูกเอาเปรียบทางเพศ โดยไม่กล้าขอความช่วยเหลือจากครูอาจารย์หรือผู้ใหญ่ แม้จะถูกเหยียบย่ำทำร้ายร่างกายและทำให้เธอรู้สึกผิด อับอายในการกระทำของตนเอง แต่เธอก็ไม่สามารถปกป้องตนเอง หรือตระหนักในสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยในโลกนี้ได้
คำถามคือ ทำไมเด็กสาวที่มีการศึกษาสูงระดับอุดมศึกษา กล้าใช้ชีวิตในรูปแบบของคนรุ่นใหม่ มีเพศสัมพันธ์ มีการอยู่กินกับเพื่อนชายก่อนการแต่งงาน แต่เมื่อเผชิญเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ กลับยึดถือทัศนคติของคนรุ่นเก่า คือกลัวว่าจะถูกประณามว่าผ่านผู้ชายมาแล้ว ไม่บริสุทธิ์ หากพบคนใหม่กลัวเขาจะไม่เลือกเรา ก็เลยต้องทนอยู่อย่างนี้ ไม่กล้าจะลุกขึ้นยืนหยัดเพื่อปกป้องดูแลตนเอง เธอไม่กล้าจะเป็นฝ่ายเลือก! เลือกผู้ชายที่เขาเห็นคุณค่าของเธอ ในฐานะที่เป็นคนดีมีการศึกษา แต่เธอกลับรอที่จะเป็น “คนที่ถูกเลือก”ถ้าฝ่ายชายไม่เลือกเธอ ก็รู้สึกว่าตนเองไม่มีราคา เหมือนกับว่าขาดผู้ชายแล้วเธอจะอยู่ด้วยตนเองไม่ได้?
พฤติกรรมที่ขัดแย้งกับทัศนคติตรงนี้ เป็นประเด็นสำคัญที่นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ หรือผู้ทำหน้าให้บริการปรึกษาแนะนำจะต้องช่วยสะท้อนให้เธอได้มองเป็นปัญหาของตนเอง จัดเตรียมข้อมูลที่เธอควรรู้แต่ไม่รู้ เช่น สิทธิสตรี กระบวนการทางกฎหมายกรณีถูกทำร้ายร่างกาย และที่สำคัญคือ การช่วยบำบัดเยียวยาสภาพจิตใจให้เธอมีความเข้มแข็ง เห็นคุณค่าของตัวเอง และสามารถตัดสินใจเลือกทางออกที่เหมาะสมให้กับตนเองได้ต่อไป
อนึ่ง นักศึกษาทุกคนทุกสถาบัน ทั้งหญิงชายควรได้รับการชีแนะ จากพ่อแม่ ครูอาจารย์โดยเฉพาะ “อาจารย์แนะแนว” ให้ทุกคนตระหนักอย่างชัดเจนในการที่พ่อแม่ผู้ปกครองส่งเรามาศึกษาเล่าเรียน ด้วยหวังว่าลูก ๆหรือนักศึกษาจะได้เล่าเรียนวิชาการเพื่อนำกลับไปใช้ในการทำมาหาเลี้ยงตัวเองต่อไป พ่อแม่ส่งเสริมให้ลูก ๆยืนหยัดเพื่อปกป้องดูแลตนเองไม่ให้เป็นภาระของผู้หนึ่งผู้ใด หากลูก ๆ เข้าใจความเหนื่อยยากของพ่อแม่ ปฏิบัติตามคำแนะนำของท่าน ปัญหาความรุนแรง คงจะไม่เกิดขึ้น หรือลดจำนวนลง