มูลนิธิศูนย์ฮอทไลน์ ปรึกษาปัญหาชีวิต และโรคเอดส์ โทรฟรีทั่วประเทศ
การเรียน การเข้าสังคม

สวัสดีค่ะ หนูอยากจะขอคำปรึกษาค่ะ หนูอายุ 20 เป็นลูกคนเดียว นิสัยส่วนตัวคือ เป็นคนที่ชอบอยู่กับตัวเอง เก็บกด แต่ถ้าไม่พอใจ สีหน้ามักจะไปก่อน แต่ไม่พูด หนูเหมือนเป็นเด็กกด มีอะไรไม่ค่อยพูดออกมา หนูใช้คำพูดอธิบายไม่ค่อยเป็น ตั้งแต่เด็ก หนูก็เล่นอะไรคนเดียวมาตลอด มีสนิทน้อยมาก น้อยคนที่หนูจะสนิทด้วยในโลกแห่งความเป็นจริง ในขณะที่เพื่อนผ่านทางโลกโซเชี่ยล หนูกลับมีเพื่อนรุ่นพี่ รุ่นน้องที่สนิทใจมากกว่า ไม่ค่อยเข้าสังคม เหมือนเป็นคนเก็บตัว มันเป็นปัญหาที่หนูรู้สึกว่ามันกระทบมาตั้งแต่วัยเด็กจนถึงปัจจุบัน นั้นคือหนูไม่มีเพื่อนค่ะ กลัวที่สร้างมิตรภาพใหม่ๆ ตอนเด็ก หนูเคยเล่นกับพี่คนหนึ่ง แล้วหนูก็เอาของในบ้านเล่น เป็นพวกเครื่องปั้นดินเผาหม้อข้าวหม้อแกงเล็กๆ พอหนูเล่นได้สักพักพ่อก็เรียกกลับไปบ้าน หนูไม่ยากไป พ่อบิดหูหนูให้ไป มันเลยเหมือนเริ่มเป็นแผลใจมาจากตรงนั้น มันเริ่มทำให้หนูกลัวที่มีเพื่อน เล่นกับคนอื่น เพราะกลัวพ่อโกรธ หลังจากนั้นไม่นานพ่อกับแม่ก็ย้ายที่ทำงาน หนูก็เลยต้องไปอยู่บ้านย่าแทน อันนี้หนูขอเล่าว่า พื้นฐานหนูถูกย่ากับอาเลี้ยง เพราะพ่อกับแม่ไปทำงานที่อื่น ตั้งแต่เด็กถูกตามใจตลอด เพราะเป็นลูกคนเดียว หลายคนเดียว พออยู่ป.ปลาย หนูมีเพื่อนสนิทอยู่สองคน และพอเริ่มอ่านหนังสือ หนูก็กลายเป็นคนติดหนังสือ ติดนิยายอยุ่ในโลกแห่งความฝัน พอสอบม.ต้น ตอนแรกๆหนูก็มีเพื่อนนะค่ะ เป็นเพื่อนสนิทกับสองสามคน แต่พอเขาเริ่มเข้ากลุ่มกับคนใหม่ๆ หนูก็เริ่มรู้สึกว่าเราห่าง ไม่สนิทกันเหมือนเดิม สักพักหนูเริ่มที่จะหากลุ่มในการทำงานกลุ่มยาก มันทำให้หนูไม่มีความสุข ไม่อยากเรียน แต่หนูก็พยายามที่จะประคับประคองฝืนเรียน ต่อไป หนูจบด้วยเกรดเฉลี่ยที่ไม่มาก แต่ก็พอใช้ได้ พอตอนม.ปลาย พ่อกับแม่อยากให้เข้าศูนย์วิทย์แต่ก็บอกว่า แล้วแต่นะ ไม่บังคับ แต่หนูไม่อยากเข้าก็เลย ไม่ได้ตั้งใจสอบอะไรมากนัก หนูอยากเข้าไทยสังคมแต่พ่อกับแม่อยากให้เข้าวิทย์ หนูยื่นโควตาแล้วก็ได้ไทยสังคม พ่อกับแม่ก็ยังให้หนูสอบเข้าสายวิทย์ เขาให้หนุเลือกสายวิทย์ หนูพยายามที่จะเข้าสังคมให้มาก ก็ได้เพื่อนมากลุ่มหนึ่งประมาณแปดคน แต่คนที่หนูสนิทจริงๆ มีแค่สองคน แต่แล้วเพื่อนที่สนิทนั้นคนหนึ่งย้ายห้อง ย้ายสาย อีกคนย้ายตามพ่อแม่ มันทำให้หนูเคว้ง อยู่กับเพื่อนกลุ่มเดิม แต่รุ้สึกไม่สนิท พยายามที่จะเข้ากับกลุ่มใหม่ก็รุ้สึกไม่สนิท มันเลยทำให้หากลุ่มทำงานยาก บางครั้งทำงานคู่ แล้วมันเศษหนูก็ทำคนเดียว มันทำให้หนู ไม่ยากเรียน แกล้งป่วยเข้าห้องพยาบาล ออกจากบ้านก็จริงแต่ไปอยู่บ้านย่าไม่ยอมไปโรงเรียน จนเกรดตก ติด ร ติด O ทำให้ไม่สามารถจบทันเวลาต้องซ่อม แอดมิดชั่นไม่ได้ แต่เนื่องจากพ่อกับแม่ทำงานในแวดวงสาสุข ตอนนั้นมีโครงการของทันตสาสุขมาพอดี หนูก็เลยไปสอบ ปรากฏว่าได้ ตอนนั้นหนูเองก็สมัครที่ราชภัฏ ฟู้ดไซน์ พ่อบอกเหมือนตามเคย ไม่บังคับแล้วแต่นะ แต่แม่อยากให้เข้าทันตะ หนูรับรุ้ได้ว่าเขาอยากให้เข้าทันตะ เพราะจบมามีงานทำ สุดท้ายหนูก็เลือกทันตะ เพราะตอนนั้นคิดแค่ว่า จบมามีงานทำเลย ใกล้บ้าน ไม่คิดว่าจะรักจะชอบอะไรทั้งนั้น เข้าไปตอนแรกก็มีเพื่อนค่ะ แต่ก็เข้าอีหรอบเดิม เกิดช่องว่างกับเพื่อนที่สนิท ไม่กลุ่ม ทำงานกลุ่มไม่ได้ ไม่อยากเรียน โดดเรียน เรียนยากใจไม่รัก ทำงานไม่ค่อยเสร็จทันเวลา ท้อ ไม่อยากเรียน โดด เรียนตลอดไม่มีหยุด เพราะเป็นหลักสูตรเร่งรัด สุดท้ายทนไม่ไหว หนูขอลาออก ไปซิ่วเลือกที่เรียนใหม่ ตอนนั้นพ่อแม่ไม่ยอมง่ายๆค่ะ เขาเลยเผลอหลึดมาว่า ทนหน่อยได้ไหม นี่มีคนช่วยนะ จะออกไม่ได้มันเสียเครดิตพ่อ เครดิตเขา ตอนรุ้ หนูโกรธมาก ยิ่งทำให้ไม่อยากเรียน หนูขุดเรื่องการเลือกเรียนมาพูดมาบอกถึงสิ่งที่ติดอยุ่ในใจหนู จนเขายอม พอจะเลือกเรียนสาขาเรียนใหม่ ด้วยความที่ตอนนั้นหนูฝังใจกับแพทย์แผนไทยมาก เพราะหนูป่วยบ่อย รักษษด้วยแผนปัจจุบันไม่ค่อยได้ผล ไปรักษาแผนไทยแล้วไดผล ประกอบกับตอนเด็กๆแม่ชอบให้นวด ม.ห้า อาจารย์พาไปดูงานที่วดลัยแพทย์แผนไทย ทำให้อยากเข้าที่นี้ แม่หนูเขากลัวเสียเวลาเลยให้หนูเรียนมสธ.ด้วย ก็เกิดอาการเดิมค่ะ จะเรียนอะไร หนูอยากเรียน รปศ แม่อยากให้เรียน บัญชี สุดท้ายหนูก็เอาบัญชี เพราะถ้าดูพื้นฐานหนูแล้ว หนูสามารถไปทางบัญชีได้ค่ะ แต่ในเรื่องที่สอบใหม่ คุณแม่ก้หนูก้ยังไม่วายเสนอทางเลือกมาให้อีก นั้นคือครู แม่อยากให้ไปปฐมวัย แต่หนูอยากไปทางสังคม หนูยอมรับเลยนะค่ะว่าตอนนั้นเครียดมาก คิดมากจะสอบอะไรดี สุดท้ายหนูก็ตัดสิยใจสอบ แพทย์แผนไทย โดยตัดสินใจก่อนสอบแค่สัปดาห์เดียว ปรากฏว่าได้ค่ะ ผ่านค่ะ ตอนนั้นหนูดีใจมากที่สอบได้ ตอนนั้นคิดอย่างเดียว ได้ที่เรียนแล้ว สบายแล้ว แม่ว่าที่อื่นที่สมัครสอบไปก็ไปสอบด้วยเถอะ แต่พ่อบอกว่าก็ได้แล้วจะสอบอีกทำไม หนูในตอนนั้นที่ดีใจว่ามีที่เรียนแล้วก็เลยตัดสินใจที่จะไม่สอบ เมื่อมาเรียนเขาให้เรียนปรับพื้นฐานก่อน เรียนบางวิชาก่อน เพราะ ม. เลื่อนไปเปิดสิงหา วิดลัยหนูอยู่ใน ม. เลยต้องเลื่อนตามแต่ไม่อยากเสียเวลา หนุก็เรียนไป จนกระทั่งเปิดเทอม เริ่มมีกิจกรรมเข้ามา ส่วนตัวหนูไม่ชอบทำกิจกรรมเลย บางครั้งหนูก็แอบโดด มันเลยทำให้ความสัมพันธกับเพื่อนเริ่มห่างหาย เพื่อนที่เคยว่าสนิทก็ไม่สนิท ไม่กล้าบอกเรื่องราวบอกเรื่องราวปัญหา ประกอบกับไม่ค่อยสบาย อยากพักบ้าง เนื่องจากเรียนมาตลอดตั้งแต่ต้น พ.ค.แทบไม่ได้หยุดนอกจากวันหยุดราชการ เริ่มท้ออีกครั้ง หนูก็เริ่มดูสิ่งที่เรียนใหม่อีกครั้ง หนูมองดูแล้ว ด้วยสุขภาพร่างกาย และความที่ไม่ชอบกิจกรรมที่เขาให้ทำ เลยเริ่มขี้เกียจและท้อเอามาก ว่าจะเรียนจบไหม จบมาแล้วเราทำงานสายนี้ได้จริงหรอ ทั้งที่ตอนนั้นคณะเขาก็พาไปดูนะค่ะว่าเรียนอะไร ทำกิจกรรมอะไรบ้าง อย่างไร หนูก็คิดว่า น่าจะทนได้ทำได้ แต่ตอนนี้หนูไม่อยากเรียนเอาซะเลย ไม่อยากเจอเพื่อนฝูงเลย มีความคิดที่อยากจะย้ายสาขาคณะ แต่มันก็ติดที่ว่าจะไปเรียนอะไร ส่วนตัวหนูชอบสังคมโดยเฉพาะประวัติศาสตร์กับเศรษฐศาสตร์ค่ะ ตอนเรียนม.ปลายได้คะแนนดีมาก แต่หนูดันไปถนัดคณิต ที่ตอนม.ปลายเกรดตกเพราะไม่ส่งงาน ไม่เข้าเรียนค่ะ คณิตหนุชอบพวกกำไรขาดทุน สถิติ ชอบคิดและอ่านเกี่ยวกับเงิน ชอบทำอาหาร วิชาที่ไม่ชอบมากๆคืออังกฤษ เลยคิดว่าจะไปย้ายไปเรียนวิทย์อาหาร เศรษฐศาสตร์ดีไหม หรือจะบัญชีดี แต่บัญชีหนูก็เรียนมสธ.ไปแล้ว เศรษฐศาสตร์ที่ ม. ก็ไม่มี ก็เลยมีความคิดว่า อยากออกมาเรียนมสธ.อยากเดียว หรือไม่ก็ฟู้ดไซน์ วิชาชีวะกับเคมีหนูพอไปได้ แต่ไม่ชอบฟิสิกส์เลย พอโทรไปปรึกษาพ่อแม่ ว่ามีปัญหา ท้อ ไม่มีแรงจูงใจ มีปัญหาเรื่องเข้าสังคม แต่ยังไม่ได้บอกว่าอยากจะเรียนแต่มสธ.อย่างเดียวนะค่ะ เขาก็บอกให้อดทนสู้ พยายามที่จะเข้าสังคมดู โซเชี่ยลยังมีเพื่อน ทำได้อย่างไง ทำไมไม่ทำแบบนั้นในโลกความเป้นจริงหล่ะ ถ้าถอย ก็จะเป็นอย่างนี้ตลอดไปนะ ตอนนี้ก็ยี่สิบแล้วนะ ผ่านซิ่วมาแล้วนะ ช้าไปสองปีแล้วนะ จะเป็นเหมือนอาหรอ ตัวอย่างก็มีให้เห็น คิดให้ดีๆ หนุเลยอยากปรึกษา หนุจะทำอย่างไงดีค่ะ หนูจะทนเรียนต่อ หรือว่าอะไรดี หนูควรเรียนสาขาคณะไหนดีถ้าหนุจะย้ายคณะอีก หรือจะเรียนแต่มสธ. หนูจะบอกพ่อแม่อย่างไง แล้วการเข้าสังคมหล่ะค่ะหนุควรเริ่มอย่างไงดี หนูรู้ว่ามันต้องทำอย่างไง แต่มันทำไม่ป็น เหมือนคนที่อยากก้าวชาแต่ก้าวไม่ออก ควรทำยังไงดี ขอบคุณค่ะ

การ์ตูน
etoon1994@hotmail.com
22 ตุลาคม 2557 16:52

หนูการ์ตูน หนูเขียนบรรยายได้เก่งนะ คงมีเรื่องที่หนูอยากพูดเยอะแต่ไม่ได้พูดหรือพูดไม่เป็น หรืออยากพูดแต่ไม่มีคนฟัง ก้ยังมีเด็ก ๆ วัยเดียวกับหนูที่เติบโตมาท่ามกลางความสับสนขัดแย้ง โดยเฉพาะการสื่อสารที่ขัดแย้งไม่ตรงไปตรงมา เช่นพ่อแม่บอกว่าอยากเรียนอะไรก็เรียนตามใจพ่อแม่ไม่ว่าหรอก แต่ก็สอดแทรกความคาดหวังว่าอยากให้ลูกเรียนโน่นเรียนนี้ เพราะมีงานมีตำแหน่งรออยู่หรือ ไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นไว้แล้วลูกต้องทำอย่างที่พ่อแม่คาดหวังให้ได้ สรุปคืออยากเรียนอะไรก็เรียน แต่ถ้าจะให้ดีก็เรียนอย่างที่พ่อแม่ชอบหรือเลือกให้นะ กรณีนี้หนูพบเห็นได้ยินคำพูดนี้เสมอมา ส่วนที่พ่อแม่เคยลงโทษดึงหูต่อหน้าเพื่อน ๆ นั่นหนูยังติดใจอยู่หรือเปล่า อยากให้มองข้ามตรงนี้เสีย ให้อภัยพ่อแม่ในช่วงอายุยังไม่มาก อารมณ์ร้อนเพราะต้องทำงานต่อสู้แข่งขันมีความกดดันที่ทำงานมากมาย หลายครั้งอาจเผลอทำสิ่งที่ไม่ควรทำกับลูก ๆ เห็นใจท่านมองข้ามไป ไม่ต้องหันกลับไปคิดถึง อย่าเก็บเรื่องนี้ไว้ให้บาดใจตนเอง ทำได้ไหม พ่อแม่มีความเครียดมาก พยายามอย่าถือสาพยายามมองด้วยความเข้าใจให้อภัย เพราะพ่อแม่ก็เหมือนพ่อแม่ส่วนใหญ่ที่ปรารถนาจะให้ลุกได้เรียนได้งานได้ตำแหน่งมีหน้าตาในสังคม เขาผ่านความลำบากมามากจึงพยายามช่วยลูกไม่ให้ลำบากเหมือนเขา ถึงหนูจะชอบหรือไม่ชอบ ทำหรือไม่ทำตามที่ท่านบอก ก็จงมองด้วยความเข้าใจ อย่าปล่อยให้ความกลัวความโกรธความไม่พอใจพ่อแม่ทำให้ตัวเราอ่อนแอ คือไม่ทำอย่างท่านบอกแล้วก็ท้อแท้ไม่อยากทำอะไร หรือทำแล้วก็ทุกข์ไม่มีความสุข กลายเป็น "ผู้แพ้" แพ้พ่อแม่และแพ้ตัวเอง หากทำอย่างที่พ่อแม่เลือกให้ไปแล้วก็ทำให้เสร็จให้จบ หลังจากนั้นทำอย่างที่เราต้องการได้ ถ้าไม่อยากทำอย่างที่พอแม่คาดหวัง ก็ต้องสร้างพลังทำให้ตัวเองสำเร็จพิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่าเราเอาดีได้จริง ไม่ใช่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไปทุกเรื่อง ย่ิงจะทำให้พ่อแม่บอกว่า "เห็นไหมบอกแล้ว ถ้าเชื่อพ่อแม่ก็จะไม่เป็นอย่างนี้" หนูต้องหนักแน่นมั่นคง ตั้งสติทบทวนว่าจะทำอย่างนี้เพื่อพ่อแม่ก็ทำให้ดี หรืออยากทำเพื่อตัวเองก็ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ท่านรู้สึกว่า ถึงหนูดื้อแต่ก็ทำได้ดีเพราะตัวเองได้ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม พยายามช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด ระมัดระวังการใช้จ่ายอย่าให้เป็นภาระของท่าน ฝึกหัดพูดอธิบายควาคิด ความรู้สึกของตัวเอง และฟังท่านให้มาก ๆ แม้จะไม่ทำอย่างที่ท่านพูดสั่ง แต่ัฟังให้เวลาท่านสำคัญที่สุดนะ เรื่องเพื่อนก็เช่นกัน จะคบกันมานานขนาดไหน สุดท้ายวันหนึ่งต้องแยกกันไป ทำดีกับทุก ๆ คนและอย่าคาดหวังอะไรจากใคร เราต่างยังเด็กไม่รุ้จักโลกไม่รู้จักตตัวเองเพียงพอ จะไปหวังอะไรจากเพื่อน ขนาดตัวเองยังแทบหวังไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นคิดให้ดี พูดให้ดี ทำให้ดีไว้กับทุก ๆ คน การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติสำหรับชีวิตที่ต้องเจริญเติบโตต่อไป ต้องฝึกมองด้วยความเข้าใจ อ่านหนังสือมาก ๆ ดีแล้ว นวนิยายช่วยทำให้เรามีความฝัน และความฝันเป็นส่วนหนึ่งทีเรายึดเหน่่ียวไว้ระยะหนึ่ง เพื่อปูทางเดินให้เราได้เลือกเดิน เรื่องการเรียนอยากให้หนูคิดพิจารณาไตร่ตรองเลือกด้วยตนเอง แล้วสู้พยายามให้ถึงที่สุดด้วยตัวหนูเอง หนูจะได้ภูมิใจไม่เสียใจหรือกล่าวหาใครว่าแนะนำผิดหรือขัดขวางหนู นี่คืออนาคตและชีวิตของหนู เลือกทำส่ิงท่ีทำได้ให้ดีที่สุด จบแล้วค่อยตั้งหลักอีกทีนะ ลองคิดดูมีอะไรเขียนไปปรึกษาได้ ขอให้โชคดีนะ!

อาจารย์ อรอนงค์ อินทรจิตร
24 ตุลาคม 2557 10:14
Post อันดับที่ 1

เรื่องพ่อแม่หนูไม่ได้โกรธแล้วค่ะ แต่มันเหมือนว่าเวลาที่มันท้อมากๆ วิตกกังวัลถึงขีดสุด มันเหมือนมันขุดทุกอย่างในความทรงจำ ตอนนี้หนูห่วงเรื่องเรียนค่ะ เพราะใจหนูวันเหมือนจะไม่สู้แล้ว หาทางเลี้ยงแล้ว แต่เพราะหนูก็คิดว่าค่าใช้จ่ายที่พ่อแม่เขาลงทุนให้หนูในเรื่องการเรียนมันมากแล้วนะ ในวันเสาร์นี้หนูต้องขึ้นดอยไปเก็บสมุนไพรกับคณะ ซึ่งถือว่าเป็นพื้นฐานของวิชาที่ต้องเรียนต่อไป หนูคิดว่าจะลองดูสักตั้ง แต่ถ้ามันไม่ไหว ลงดอยมา หนูคงต้องพูดถึงการย้ายสาขา แต่ว่า การจะย้ายได้มันต้องเรียนให้ครบสองเทอม แล้วค่าเทอมคณะหนูมันก็แพงเอามาก หนูก็เลยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ย้ายหรือลงใหม่ เท่าที่หนูเคยเปรยกับพ่อแม่ เขาก็ว่ามันผ่านมากี่หนาวแล้ว แล้วอย่างนี้ไม่ไหร่จะจบ ลงใหม่ถามว่าแพงไหม มันก็ประมาณเกือบครึ่งของค่าเทอมอันเก่าได้ค่ะ จะยอมเสียแพงหรือเสียเวลา นี่คือสิ่งที่หนูคิดต่อไป หนูคิดไกลไปหรือเปล่าค่ะ

การ์ตูน
24 ตุลาคม 2557 11:56
Post อันดับที่ 2

เรื่องพ่อแม่หนูไม่ได้โกรธแล้วค่ะ แต่มันเหมือนว่าเวลาที่มันท้อมากๆ วิตกกังวัลถึงขีดสุด มันเหมือนมันขุดทุกอย่างในความทรงจำ ตอนนี้หนูห่วงเรื่องเรียนค่ะ เพราะใจหนูวันเหมือนจะไม่สู้แล้ว หาทางเลี้ยงแล้ว แต่เพราะหนูก็คิดว่าค่าใช้จ่ายที่พ่อแม่เขาลงทุนให้หนูในเรื่องการเรียนมันมากแล้วนะ ในวันเสาร์นี้หนูต้องขึ้นดอยไปเก็บสมุนไพรกับคณะ ซึ่งถือว่าเป็นพื้นฐานของวิชาที่ต้องเรียนต่อไป หนูคิดว่าจะลองดูสักตั้ง แต่ถ้ามันไม่ไหว ลงดอยมา หนูคงต้องพูดถึงการย้ายสาขา แต่ว่า การจะย้ายได้มันต้องเรียนให้ครบสองเทอม แล้วค่าเทอมคณะหนูมันก็แพงเอามาก หนูก็เลยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ย้ายหรือลงใหม่ เท่าที่หนูเคยเปรยกับพ่อแม่ เขาก็ว่ามันผ่านมากี่หนาวแล้ว แล้วอย่างนี้ไม่ไหร่จะจบ ลงใหม่ถามว่าแพงไหม มันก็ประมาณเกือบครึ่งของค่าเทอมอันเก่าได้ค่ะ จะยอมเสียแพงหรือเสียเวลา นี่คือสิ่งที่หนูคิดต่อไป หนูคิดไกลไปหรือเปล่าค่ะ

การ์ตูน
24 ตุลาคม 2557 11:56
Post อันดับที่ 3

หนูการ์ตุน ดีแล้วที่รู้จักคิดไตร่ตรองให้รอบคอบ ในฐานะที่หนูเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ ลำพังเรื่องเงินอาจไม่ใช่ปัญหาเพราะทั้งสองคนมีตำแหน่งหน้าที่สูงพอสมควร ในฐานะที่อาจารย์ก็มีลูกคนเดียวกำลังเรียนอยู่ปีหนึ่ง เปลี่ยนมาแล้วสามสถาบันเพื่อน ๆ เขาก็เรียนปีสามกันแล้ว อาจารย์ก็มองว่าเลือกให้ถูกใจพอใจที่สุดแล้วมุ่งหน้าเรียนให้จบ ก็ไม่ต่างจากหนู แต่เราต้องคุยกันตรง ๆ พ่อแม่ก็ต้องฟังลูก ลูกก็ต้องฟังพ่อแม่แล้วพิจารณาไกล่เกลี่ยดู ลูกต้องพูดดี ขอโอกาสกับท่าน จะพูดขอโอกาสเปลี่ยนวิชาหรือที่เรียนใหม่ก็ต้องพูดจาให้เป็นเหตุเป็นผลกับพ่อแม่ ไม่พูดเหลาะแหละหรือแสดงความท้อแท้อ่อนไหวสับสน เร่ิมต้นที่ตัวเองหาเหตุผลให้ตนเองว่าเพราะอะไร กลัวอะไร ไม่มั่นใจไม่ชอบใจเรื่องอะไร และต้องการหรือตั้งใจจะทำอะไรอย่างไรต่อไป พูดให้ท่านเข้าใจ และแสดงความเข้าใจท่านด้วยว่า หนูรู้ว่าพ่อแม่ต้องการให้หนูเรียนสาขาน้นเพื่อความมั่นใจว่าจะได้งานที่ดี หนูก็อยากเรียนหากเรียนได้ดีหรือจะไม่ล่มในปีท้าย ๆ แต่หนูก็อยากเรียนสาขานี้เพราะหนูชอบ หรือเชื่อว่าจะจบได้แน่นอน ขอให้หนูได้มีโอกาสเรียนอย่างนี้เถอะนะ คือต้องเรียนรู้ที่จะพูดให้พ่อแม่เข้าใจ เรื่องเงินนั้น พ่อแม่ก็จะบ่นบ้างเป็นธรรมดา แต่ถ้าเรามีเหตุผลเพียงพอหรือทำให้ท่านพอใจในคำพูดของเราได้ ก็เชื่อว่าท่านจะยอมนะ เพราะความเป็นห่วงของพ่อแม่คือ กลัวว่าลูกจะพูดไม่รู้เรื่องคิดไม่เป็นโลเล พ่อแม่จึงอยากจะจัดการเรื่องอนี้ให้ หากหนูยืนยันความต้องและพูดอธิบายที่สะท้อนว่าหนูรู้จักตัวเองดีพอ พ่อแม่จะรู้สึกดีและไม่ขัดขวาง โดยเฉพาะหากเราอดทนได้รอจนปีหน้าแล้วค่อยย้ายสาขาก็น่าจะประหยัดเงินได้นะ คิดยังใง ความจริงสมัยนี้หากเรียนมหาวิทยาลัยปิดกันอยู่ เรามักแนะนำให้ลงม.สุโขทัย หรือรามคำแหงไปพร้อม ๆ กัน เพราะทั้งเปิดและปิดมีวิชาที่เลือกเรียนได้เหมือน ๆ กันนะลองศึกษาดู ในสายตาของอาจารย์ จบที่ไหนไม่สำคัญขอให้ขยันอดทนในการเรียนรู้และทำงานให้ได้เท่านั้นแหละ แล้วปรึกษาไปใหม่ได้ค่ะ

อาจารย์ อรอนงค์ อินทรจิตร
24 ตุลาคม 2557 19:17
Post อันดับที่ 4

ตอบกระทู้


กลับด้านบน