มูลนิธิศูนย์ฮอทไลน์ ปรึกษาปัญหาชีวิต และโรคเอดส์ โทรฟรีทั่วประเทศ
ท้อแท้ กดดันตัวเองว่าเป็นคนโง่ทั้งๆที่เคยเก่งมาก

ผมเคยเป็นคนเก่งมากๆ ประสบความสำเร็จในชีวิตระดับหนึ่ง เคยมีความภูมิใจในชีวิต แต่แล้ววันนี้ ผมกลับทำอะไรล้มเหลวเสียหมด ทำนั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ทำได้ไม่ดี จนขาดความกล้า มีแต่ความกลัวเข้ามาแทนที่ ทำให้ใช้ชีวิตได้ลำบาก กลัวนั่นนี่ไปหมด วิตกกังวล ไม่อยากทำอะไรเลยในชีวิต ท้อแท้ สิ้นหวัง จะทำอย่างไรดีครับ ไม่อยากสู้ทำอะไรอีกเลย หลายปีมานี้ผมไม่เคยรู้จักกับความสำเร็จเลย พยายามให้ดีแค่ไหนท้ายสุดก็ล้มเหลว

เอ
26 มีนาคม 2561 04:16

คุณเอ ไม่ได้บอกว่า อายุเท่าไร ก็เดาเอาว่าคงจะเป็นคนหนุ่มวัยทำงาน ที่ว่าเคยเป็นคนฉลาด เป็นคนเก่งมาก ๆนั้น แล้วอยู่ ๆ ก็คิดว่าตัวเองเป็นคนโง่นั้น มันไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ หรอกนะนอกจากประสบอุบัติเหตุจนสมองเส่ือมกลายเป็นคนจำอะไรทำอะไรไม่ค่อยได้ อย่างงั้นก็เกิดบ่อยในละครน้ำเน่า ซึ่งก็เสียดายเวลาที่จะมาคิดเร่ืองนั้น เป็นไปได้หรือเปล่า ช่วงนี้มีเร่ืองราวที่ทำให้เกิดความเครียด เบือ เซ็ง หรือที่ผ่านมาลงแรงกายใจไปมากถึงวันนี้เหนื่อยจนอยากพัก ไม่อยากทำอะไร พอจะทำอะไรก็เลยกลายเป้นผิดพลาดไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง ที่ว่าที่ผ่านมาเคยประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งนั้น ลองมองย้อนไปเราต้องพานพบกับเร่ืองยุ่งยากลำบากอะไรบ้าง แต่ก็ผ่านมาได้ ผ่านมาแล้ว ถึงวันนี้โจทย์เปลี่ยนหรือเปล่า กลุ่มบุคคล สิ่งแวดล้อมต่างไปไหม นี่หรืือเปล่าคือสาเหตุที่ทำให้งานไม่เสร็จดังต้องการ ถ้าโจทย์ไม่เหมือนเดิมหมายความว่า เราต้องเรียนรู้เพิ่ม ใส่พลังความคิดความพยายามให้มากข้ึนเพ่ือแลกกับเป้าหมายที่เราต้องการจะไปถึง สำหรับคนที่มีสมอง มีความคิด มีการศึกษา หรือเกิดมาในส่ิงแวดล้อมที่ดี คำว่าล้มเหลวไม่มีหรอกนะ มีแต่ยังไม่ได้ทำ ยังไม่อยากลงมือ ยังขี้เกียจทำอยู่ ยังไม่รู้้้้้้้้้้้้้้้จะเร่ิมที่ตรงไหน เพราะฉะน้ันที่ว่าล้มเหลวคงไม่ใช่ แต่เพราะอะไรก้มลงถามตัวเราเองหรือยัง คนที่ผ่านประสบการณ์การทำงานในชีวิตมาแล้วต่างตระหนักชัดเจนว่า ชีวิตคนเรามีขึ้นมีลง มีวันฝนตก วันแดดออก มีความสุขและความทุกข์เป็นเร่ืองปกติธรรมดา ถนนสายนี้ทุกคนต้องเดินผ่านยากจะหลีกเลี่ยงเพราะฉะนั้นที่ผ่านมาเคยประสบความสำเร็จมีความสุขความภูมิใจก็ดีแล้ว ถึงวันนี้หากต้องทุกข์ต้องผิดหวังสับสนก็ดีจะได้เรียนรู้วิธีเผชิญอุปสรรคปัญหาใหม่ ๆ ไม่จำเจอยู่ที่เดิม ที่สำคัญคนเราไม่จำเป็นจะต้องรู้ดีไปเสียทุกอย่าง จะให้เก่งไปทุกเร่ืองก็ไม่ค่อยมี เพราะฉะนั้นการเรียนรู้ในความเป็นคนปุถุชนธรรดาจะได้ไม่คาดหวังในตนเองสูงเกินไป เพราะคนธรรมดาก็รู้บ้างไม่รู้บ้างผิดบ้างถูกบ้างเป็นเร่ืองปกติ เม่ือตระหนักในความเป็นปกติของมนุษย์แล้ว จะได้มีความกล้าที่จะลองส่ิงใหม่ ๆที่สร้างสรรค์ โดยไม่กลัวความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น เพราะถ้าผิดพลาดก็ทำใหม่ ลองใหม่ ชีวิตคนเราก็ต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ถูกบ้างผิดบ้างด้วยกันทั้งนั้น ที่สำคัญจะทำออะไร ก็หวังได้ว่าจะต้องงสำเร็จ แต่หากไม่ได้เป็นดังคาดหวัง ก็ไมท้อแท้สิ้นหวัง ไม่หวาดกลัว ไม่ถอดใจ แต่จงใส่ความสุขในทุกอย่างที่เราทำ เพราะเราเป็นคนเลือกที่จะทำในเร่ืองนี้ส่ิงนี้ ก็จงให้ความรู้สึกดี ๆ ถึงเรายังไปไม่ถึงเป้าหมายแต่ก็มีความสุข ความสนุกเป็นกำไรชีวิต (หมายถึงทำเร่ืองดี ๆ นะ) คุยกันถึงตอนนี้คิดว่าาพอจะปรับตัวปรับใจ ได้ไหม ชีิวิตของแต่ละคนก็เหมือนการเดินทางบนเส้นทางที่ตนเลือก เพราะฉะนั้นเม่ือเลือกแล้ว จะทุกข์หรือสุขอย่างน้อยก็ต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจชีวิต ชีวิตคือการเดินทางเราต่างต้องวิ่งบ้าง เดินบ้าง เหน่ือยนักก็หยุดพักผ่อน ผู้ใหญ่บอกว่า บนเส้นทางการเดินทางของชีวิต ปัญหาและอุปสรรคใหญ่ที่เกิดข้ึนตรงหน้า ไม่ใช่ขุนเขาสูงใหญ่ที่ขวางทางเราอยู่ แต่เป็น ก้อนกรวดเล็ก ๆ ในรองเท้าของเรานั่นเองทำให้เราเดินไม่สะดวกกระโผกกระเผก แล้วลองไตร่ตรองซิว่า ก้อนกรวดในรองเท้าคุณขณะนี้คืออะไร เม่ือคิดได้ ปรับเปลี่ยนทัศนคติได้ เปลี่ยนพฤติกรรมได้ ทางออกคุณรู้อยู่แล้ว ขอให้โชคดีมีอะไรจะคุยต่อได้ก็เขียนไป

อาจารย์ อรอนงค์ อินทรจิตร
27 มีนาคม 2561 13:44
Post อันดับที่ 1

ขอบคุณครับ อ. ผมอายุ 25 ครับ พอมันผิดหวังซ้ำๆ หัวใจมันก็เลยไม่อยากจะทำอะไรครับ ผมได้พยายามแล้ว เหนื่อยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ไม่สำเร็จ จนท้อแท้ ปัญหาผมคือไม่รู้วิธีที่จะเอาก้อนกรวดนั้นออกจากรองเท้าครับ

เอ
27 มีนาคม 2561 16:21
Post อันดับที่ 2

หนูเอเพ่ิงอายุ 25 ปีนะ หนูคาดหวังในตัวเองมากไปหรือเปล่า อายุขนาดนี้ต้องเรียนรู้อีกแยะ คนสมัยก่อนสอนว่า 20 ปีแรกเรียนหนังสือพ่อแม่สั่งสอนอบรม ทำตามที่ครูอาจารย์สอน อีก 20 ปี(21-40) เรียนรู็สะสมประสบการณ์จากงานและโลกภายนอก เร่ิมจะรู้จักชีวิตว่าจริง ๆ มันป็นอย่างไร ระหว่างช่วงกลางของอายุในการเรียนรู้สะสมประสบการณ์ เราอาจได้งานที่ชอบไม่ชอบ หรือไม่ตรงสายงาน แต่เราทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะมีความอดทน เพราะงานสมัยก่อนหายาก เราส่วนใหญ่ไม่มีทางเลืืือกมากนัก มีอะไรทำต้องทำให้ดีที่สุดแล้วค่อยขยับขยาย เพราะครอบครัววไทยสมัยก่อนต้องช่วยเหลือส่งเสียครอบครัวและพี่น้องที่ยังเรียนไม่จบเสียก่อน เม่ือทุกคนเรียนจบทำงานกันแล้ว เราจึงเร่ิมจะเป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง วันเวลา ผ่านไป 40 ปีชีวิตเพ่ิงเร่ิมต้น จะแต่งงาน มีบ้าน ซ้ือรถก็ตอนอายุ 40 ปีกันนี่แหละ คนไทยสมัยก่อน หากยังไม่แต่งงานก็ต้องอยู่บ้านกับพ่อแม่ เพราะไม่มีที่จะะไปไม่มีเงินไม่มีคอนโดหรือสถานที่หรูหรา ย่ิงเป็นผู้ ุ้หญิงหากยังไม่ได้แต่งงาน ก็ไม่ต้องพูดถึงเร่ืองออกไปอยู่ข้างนอก อาจารย์เองก็ย้ายออกจากครอบครัวตอนอายุ 40 ปีเร้ิมมีทรัพยฺ์สินของตนเอง และเริ่มอาชีพที่ตนพอใจและตัดสินใจเลือกแล้ว นี่คือชีวิตที่ค่อยเป็นค่อยไป สงบ ๆ ไม่หวือหวาหรือต่ืนเต้นอะไร แต่เป็นชีวิตที่มีความสุข แต่หลายสิบปีที่ผ่านมาก็มองเห็นว่า คนรุ่นใหม่เติบโตท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงพัฒนาด้านเศรษฐกิจการเมืองแบบก้าวกระโดด ผู้คนร่ำรวยกันมากขึ้นอย่างผิดปกติน่าประหลาดใจ ได้เห็นคนรุ่น ใหม่ประสบความสำเร็จร่ำรวยตั้งแต่อายุยังน้อย แต่บอบบางไม่สามารถเผชิญความผิดหวัง และยังขาดความอดทน ยอมรับความผิดหวังไม่ได้ คิดอะไรทำอะไรก็มั่นใจว่าตัวเองต้องได้ ต้องสำเร็จ ซึ่งทั้งหมดนี้อาจมีพัืนฐานจากความไม่หนักแน่นมั่งคงของผู้ใหญ่ที่มองเห็นได้ในข่าวตลอดหลายปีนี้ หรือในอึกความหมายหนึ่ง ผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จร่ำรวยขึ้นมา ไม่ใช่จากความเก่งซ่ือสัตย์สุจริตของตนเอง เพียงมีโอกาสเปิดขึ้นก็ฉกฉวยเอาไปทำให้ตัวเองเหมือนเก่งเหนือใคร ๆ ทำให้เด็ก ๆ สนใจจะลอกเลียนแบบที่ฉาบฉวยด้วยความเข้าใจผิด และคิดว่าคนอ่ืนทำได้ เราก็ทำได้เช่นกัน ก็ไม่รู้ว่าหนูเอ อยู่ในกรณีนี้ด้วยหรือเปลา อย่างไรก็ตาม การที่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่ได้เป็นเคร่ืองยืนยันว่าเราจะต้องสำเร็จไปในทุกเร่ืองที่เราทำ ไม่มีเคยมีใครสัญญาว่าเราจะต้องได้ต้องเป็นอย่างที่หวัง เพราะฉะนั้นตั้งสติให้ดี ที่ผ่านมานับว่าโชคดีมีประสบการณ์ที่ทำให้เราภูมิใจ เป็นกำไรเก็บใส่กระเป๋าไว้บ้างแล้ว และหากต้องเร่ิ่มงานใหม่ก็ต้องถือเป็นโอกาสดี ที่จะได้มีประสบการณ์ใหม่ ๆ เพ่ิมขึ้น อย่าไปติดอยู่กับงานที่ผานมาแล้ว หรือกอดความสำเร็จครั้งนั้น แต่จบบทเรียนบทนีอย่างดี ก็ต้องคิดว่า มีบทเรียนใหม่รอเราอยู่อีกมากมาย จะท้อไม่ได้ ก้าวเดินต่อไป สนใจและกระตือรือร้นที่จะได้เรียนรู้ส่ิงใหม่ ๆ ถ้าทีผ่านมาคุณโชคดีหยิบจับงานดีแล้วประสบความสำเร็จ อาจไม่ใช่เพราะเราเก่งจริง เป็นเพียงจังหวะเวลาและส่วนประกอบบางอย่างที่ลงตัว เหมือนนักการเมืองที่ฉกฉวยโอกาสจากความไม่รู้จากความซ่ือเซ่อของประชาชน แล้วทำโอ้อวดว่าเป็นเพราะเขาเก่ง ความจริงไม่ใช่ ความสำเร็จนั้นอาจเกิดเพราะความไม่ซ่ือของเขาและพรรคพวกก็ได้ เปรียบให้ฟังเฉย เช่ือว่าหนูเอ ไม่ได้มีโชคใหญ่ขนาดนั้นหรอกนะ แต่ให้มองไปกว้าง ๆ ไกล ๆ รอบ ๆ ตัว อย่าหยุดเพียงเพราะผิดหวังบางอย่าง แม้จะผิดหวังซ้ำซากก็ต้องเช่ือว่ามันจะทำให้หัวใจเรากล้าแกร่งย่ิงขึ้น ถ้ารู้สึกเหน่ือยล้า หาสิ่งที่เราสนใจทำ เช่นเรียนต่อบางวิชาที่เรายังไม่ชัดเจน ทำอะไรทีควรต้องทำแต่ยังไม่ได้ทำเพราะที่ผ่านมาไม่มีเวลาเช่น จะต้องช่วยเหลือดูแลพ่อแม่ญาติผู้ใหญ่พี่น้องที่ต้องการความช่วยเหลือแต่ไม่ว่าง วันนี้เราว่าง พักเร่ืองงานไว้ก่อนหันมาทำหน้าที่อ่ืนบ้าง ชีวิตของคนเรามีเร่ืองมากมายให้ต้องสนใจ ต้องทำ ต้องช่วยเหลือ ไม่ปล่อยตัวเองให้หมกมุ่นแต่เพียงเร่ืองหนึ่งเร่ืองใด ที่สำคัญอย่างที่อาจารย์บอกไปว่า ชีวิตคือการเดินทาง ความสุข สนุก เกิดขึ้นระหว่างทางแห่งทุกข์และสุข ไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทาง เห็นคนมากมายมุ่งรอจะใช้ชีิวตให้มีความสุขเม่ือเกษียณ แต่ถึงวันนั้นก็เสียชีวิตเสียเฉย ๆ เพราะฉะนั้นไม่ต้องรอจนสุดปลายทาง จงกล้าหาญที่เรียนรู้และฟันฝ่าอุปสรรคและปัญหาตรงหน้าให้ได้ ด้วยวิธีว่ิงบ้างเดินบ้าง สนุกกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า นี่คือวิธีง่าย ๆ ในการเอาก้อนกรวดออกจากรองเท้า อะไรทำให้เราเจ็บปวด เก็บไว้ทำไม ขอให้โชคดี เขียนไปใหม่ได้นะ

อาจารย์ อรอนงค์ อินทรจิตร
28 มีนาคม 2561 14:10
Post อันดับที่ 3

ตอบกระทู้


กลับด้านบน