“ดิฉันเคยเป็นคนที่มีความสุขมาก ๆ กับชีวิต ถึงแม้จะมีความทุกข์ผ่านมาบ้างก็ขจัดมันออกไปได้ไม่ยากเย็น ดิฉันเป็นคนมองโลกในแง่บวกและคิดดีทำดีเสมอมา มีหน้าที่การงานและฐานะทีดี มีครอบครัวที่ดี มีสามีที่ดี มีลูกที่น่ารัก สิ่งเหล่านี้ทำให้ดิฉันมีความศรัทธาและภูมิใจในตนเอง
จนกระทั่งสามปีก่อน ผู้ชายคนหนึ่งที่ดิฉันคบเป็นเพื่อนร่วมงานมาหกปีเลิกกับแฟน และแสดงตัวว่าชอบดิฉันมานานทั้ง ๆ ที่รู้ว่าดิฉันมีสามีและลูกแล้ว เขาทำให้ดิฉันรู้สึกว่าดิฉันเป็นคนสำคัญ มีค่ามากมายจนดิฉันหลงเคลิ้ม คิดว่าตนเองมีใจให้เขา เมื่อเขาเห็นว่าดิฉันเริ่มตกหลุมพรางจึงเริ่มคุกคามดิฉันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนดิฉันเริ่มกลัวและไม่อยากทำผิดต่อสามี ดิฉันขอร้องเขาให้หยุดการกระทำที่คุกคามต่อดิฉัน เช่น กอดจูบลูบคลำ เพราะยังไม่สายที่เราจะยังเหลือความรู้สึกดี ๆ ฉันเพื่อนต่อกันได้ แต่เขายังมีความต้องการด้านมืดอยู่มาก เขาจึงบังคับให้ดิฉันกระทำให้เขา แม้เพียงครั้งเดียวแต่ดิฉันรู้สึกทรมานมาก มีความรู้สึกไม่ต่างจากถูกบังคับขืนใจ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ล่วงเลยถึงขั้นมีเพศสัมพันธ์
ดิฉันรู้สึกรังเกียจเขา รังเกียจตนเอง กลัวและอับอาย รู้สึกว่าตนเองไร้ค่า ความดีที่สั่งสมมาหายวับไปกับตา หลังจากนั้นดิฉันตัดสินใจเลิกคบกับชายคนนั้น แม้แต่ความเป็นเพื่อนก็คงไม่มีให้ และตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้สามีฟัง
สามีรับฟังและเข้าใจทุกอย่าง ไม่โกรธไม่เกลียดดิฉันและทำดีกับดิฉันมากขึ้น เรื่องราวนี้เริ่มต้นและจบภายในเวลาหนึ่งปี ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นหายไปจากชีวิตดิฉันแล้ว ดิฉันและสามีเข้าใจกันมากขึ้น ดูเหมือนเรื่องร้าย ๆ จะผ่านไปแล้ว
แต่ทำไมดิฉันกลับยังมีความทุกข์อยู่ หลับตาแล้วมีภาพเหล่านั้นแว่บเข้ามาและทำให้ดิฉันรู้สึกซึมเศร้าวังเวง บางครั้งรู้สึกทรมานกับการอยู่บนโลกนี้เหลือเกิน รู้สึกโกรธตนเองที่ปล่อยให้เหตุการณ์เลยเถิด คิดกังวลว่าหากพ่อแม่หรือลูก ๆ รู้ว่าเราเจออะไรมาแล้วจะไม่เข้าใจ ความสุขในชีวิตที่เคยมีหายไปหมด
หลังจากจบเรื่องจนถึงวันนี้รวมเวลาสองปีแล้ว ดิฉันยังคงจมอยู่กับความทุกข์ ดิฉันอ่านหนังสือธรรมะมากมาย รู้วิธีปฏิบัติว่าต้องทำอย่างไร แต่ก็ยังทำไม่ได้ เคยเป็นที่ปรึกษาให้คนมากมายในยามทุกข์ แต่พอถึงคราวตนเอง กลับบังคับตนเองให้ลืมไม่ได้ รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากตัวเราเองเท่านั้น และตอนนี้ก็รู้สึกว่าเรายังช่วยตนเองไม่ได้เลย เลยรู้สึกสิ้นหวังว่าเราจะผ่านพ้นความรู้สึกนี้ไปได้อย่างไร รบกวนอาจารย์ชี้แนะด้วยนะคะ”
คงจะมีสักวันที่เราจะมีโอกาสนั่งเงียบ ๆ ตามลำพังคนเดียว มองดูท้องฟ้าที่กระจ่างแจ่มใส มีดาวน้อยใหญ่เรียงรายที่ชายฟ้า ลมเย็นยามดึกโบกโบย แต่เรากลับรู้สึกอบอุ่นอาบอิ่มด้วยพลังแสงนวลตาจากรัศมีของดวงจันทร์ที่แผ่กระจายไปทั่ว จนดูเหมือนกับว่า โลกทั้งโลกถูกห่อหุ้มไว้ด้วยพลังแห่งความสุข
และแน่นอน...หลายครั้งหลายหนที่เราอยากให้โลกหยุดลงตรงช่วงเวลานั้น เวลาแห่งความสุข...เพื่อที่ว่าพวกเราจะได้ดื่มด่ำซึมซับเอาความสุขไว้ให้เต็มเปี่ยม เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงจุดไฟในการดำเนินชีวิตต่อไป...และแล้วเวลานั่นก็ผ่านไป...
ชีวิตคือการเดินทาง...และบนเส้นทางของชีวิตก็คละเคล้ากันทั้งทุกข์และสุข เสียงหัวเราะ และน้ำตา...บนเส้นทางของกาลเวลา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ดวงดาวบนท้องฟ้านั่นได้เดินทางมายาวนานกี่กัปกัลป์ และก็ไม่เข้าใจอีกเช่นกันว่า ทำไมดวงดาวบนท้องฟ้าในสุริยะจักรวาลนั่น จึงมีอิทธิพลหรือส่งผลกระทบต่อชีวิตของมนุษย์เล็ก ๆ อย่างพวกเรา
หลายครั้งหลายคราเมื่อชีวิตมนุษย์ ต้องเผชิญปัญหารุนแรงหรือวิกฤติการณ์ที่ตนเองมิอาจหลบเลี่ยงได้ เรามักจะกล่าวว่า วิถีแห่งเรื่องราวนั้นเกิดขึ้นตามลิขิตของฟ้า หรือ” ฟ้ากำหนด” นั่นหมายความว่า อิทธิพลของดวงดาวบนท้องฟ้านั้นส่งผลต่อการกระทำของมนุษย์เช่นเรา แล้วความสุขเหล่านี้เล่า เกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วมันหายไปไหน หรือว่ามันอยู่ในหัวใจเรานี่เอง?
ตามที่สุภาพสตรีท่านนี้เล่ามา จะเห็นว่า เธอมีทัศนคติในการมองโลกเป็นทางบวก และดำเนินชีวิตตนเองกับครอบครัวอย่างสร้างสรรค์ ชีวิตที่ดำเนินมาจึงเปี่ยมด้วยความสุข หรือมีความสุขอย่างท่วมท้น จนอาจจะหลงใหลได้ปลื้มกับเส้นทางที่สวรรค์กำหนดให้ จนวันหนึ่ง ผู้ชายที่เธอรู้จักในฐานะเพื่อนร่วมงานก็ได้ก้าวเข้ามาในเส้นทางของเธอ จะด้วยความไม่ตั้งใจหรือไม่ทันระวังตัว หรือเพราะเธอยังอ่อนต่อโลก ไม่ทันระแวดระไวในเจตนาของเพื่อนชายคนนี้ว่าเข้ามาด้วยประสงค์สิ่งใด หรืออาจจะเพราะเธอเห็นใจในความล้มเหลวของเขา หรืออาจจะเพราะความสงสารในความโดดเดี่ยวดายของเขา ทำให้เธออ่อนไหวไปกับความใกล้ชิด
การยกยอปอปั้นให้ความสำคัญเหมือนเธอคือคนพิเศษสำหรับเขา เธออาจหลงใหลได้ปลื้มไปกับการยกยอปอปั้นนั้นจนลืมไปว่า เธอไม่ใช่คนตัวคนเดียว เธอยังมีสามีและลูกรออยู่ที่บ้าน ซึ่งเพื่อนชายคนนี้ก็รู้ดี แต่เพราะความปรารถนาที่จะได้เป็นเจ้าของ ได้ครอบครองและใช้เธอเป็นเครื่องมือในการตอบสนองความต้องการทางเพศของเขา การเข้ามาชิดใกล้ของเขาจึงเหมือนมีเจตนาที่จะทำร้าย และทำลายเธออย่างไม่ปรานี
การคุกคามทำร้ายร่างกายและจิตใจเธอเริ่มจากการกอดจูบลูบคลำ ทำเหมือนเธอเป็นของเล่น สัตว์เลี้ยง หรือผู้หญิงที่เขาจะเรียกให้มาบำรุงบำเรอเมื่อใดก็ได้ เขาพยายามควบคุมแสดงอำนาจเหนือเธอ ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่ให้เกียรติ และรุกเร้าเธอมากยิ่งขึ้น และสุดท้ายเขาบังคับขู่เข็ญให้เธอปรนนิบัติทางเพศต่อเขา แม้จะไม่ใช่การข่มขืน แต่พฤติกรรมนั้นไม่ต่างจากการข่มขืนทั่วไป ยิ่งทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่า ชายคนนี้กำลังทุบทำลายโลกอันงดงามของเธอจนแหลกละเอียด และเธอไม่อยากอยู่ในโลกนี้ตอไป!
เธอรู้สึกรังเกียจเขา รังเกียจตนเอง กลัวและอับอาย รู้สึกว่าตนเองไร้ค่าและเกรงว่าคนทั่วไปจะรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นเธอได้ตัดสินใจเลิกคบกับชายคนนั้น และเล่าเรื่องทั้งหมดให้สามีฟัง สามีรับฟังและเข้าใจทุกอย่าง เขาไม่ได้แสดงความโกรธเกลียดเธอ และทำดีกับเธอมากขึ้น เรื่องราวนี้เริ่มต้นและจบภายในเวลาหนึ่งปี ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นหายไปจากชีวิตของเธอแล้ว เธอและสามีเข้าใจกันมากขึ้น ดูเหมือนเรื่องร้าย ๆ จะผ่านไปแล้ว
ทว่า แม้เรื่องเลวร้ายจะผ่านไป แต่หญิงสาวยังแบกความทุกข์ทั้งหลายเอาไว้ เธอบอกว่า หลับตาแล้ว มีภาพเหล่านั้นแว่บเข้ามาและทำให้เธอรู้สึกซึมเศร้าวังเวง บางครั้งรู้สึกทรมานกับการอยู่บนโลกนี้เหลือเกิน รู้สึกโกรธตนเองที่ปล่อยให้เหตุการณ์เลยเถิด คิดกังวลว่าพ่อแม่หรือลูก ๆ รู้ว่าเราเจออะไรมาแล้วจะไม่เข้าใจ ความสุขในชีวิตที่เคยมีหายไปหมด
แน่นอน...เพราะเธอมีธรรมชาติอันดีงาม แม้ทำผิดพลาดไปแล้ว ความรู้สึกผิดนั้นยังรบกวนใจเธออยู่ เธอโกรธตัวเองที่ปล่อยให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นได้ ยิ่งสามีไม่โกรธเธอยิ่งรู้สึกแย่ลง เหมือนจิตใจเธอนั้นต่างและต่ำกว่าสามี ร่างกายมีราคี หากเธอยังเป็นเด็กทำผิดร้ายแรง เธอก็พร้อมจะรับการลงโทษ และจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น หรือหากแปดเปื้อนสิ่งสกปรก ชำระล้างร่างกายแล้วก็คงกลับมาสะอาดเหมือนเดิมได้ แต่การแสดงออกด้วยความเป็นมิตรของสามี ที่ไม่โกรธเกลียดเธอกลับทำให้เธอยิ่งรู้สึกไม่สามารถจะให้อภัยตนเองได้ และยิ่งทำให้เธอรู้สึกว่า เรื่องราวอย่างนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับเธอ ผู้หญิงที่เป็นเจ้าของความสุขและสิ่งดีงามอีกมากมาย!
ทุกวันนี้เธอทุกข์ทรมาน ด้วยความทรงจำเก่า ๆ ที่ตนเองไม่อาจให้อภัยตนเองด้วยการ “ลืม” หรือยกโทษให้ตนเองในฐานะของการได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง ซึ่งบทลงโทษที่เธอได้รับด้วยความทุกข์และการเสียความรู้สึกที่ผ่านมานั้น มากเพียงพอทีเธอจะสลัดทิ้งความผิดพลาดที่เกิดขึ้น และก้าวต่อไปด้วยจิตมุ่งมั่นที่จะไม่ปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาอีก
ที่สำคัญ..แม้ยามราตรีที่มืดมิด ชีวิตยังต้องเดินต่อไป แม้ปราศจากแสงนวลสว่างไสวของดวงจันทร์ แต่ดวงดาวกว่าหมื่นแสนดวงนั้นยังทอแสงแห่งความสุข ความฝัน และพร้อมจะแบ่งปันมิตรภาพและความรักอันอบอุ่นให้กับทุกดวงใจในโลกนี้ ตราบเท่าที่เราทุกคนตระหนักและยอมรับว่า เราเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่งเท่านั้นเอง