“สวัสดีค่ะ...หนูตั้งครรภ์ได้สามเดือน เพราะแฟนที่คบกันขอมีลูก เชื่อใจค่ะ เลยปล่อยมี สุดท้ายมารู้ว่าผู้ชายมีครอบครัวแล้ว เลยกลับมาอยู่ที่บ้าน หนูเคยมีลูกแล้วนะคะ ลูกชายอายุหกขวบ.... หนูเพิ่งไปฝากท้องมา ผลออกมาว่า หนูติดเชื้อ HIV หนูจะต้องย้ายจากคลินิกไปฝากที่โรงพยาบาล เพื่อรับยาต้าน แฟนก็เหมือนจะไม่รับผิดชอบอยู่แล้ว ถ้าเกิดเขารู้ว่าหนูติดเชื้อแล้วเขาตรวจไม่มีเชื้อ เขาทิ้งหนูกับลูกแน่ ๆ หนูจบแค่ ม.3 ตอนนี้ก็ไม่ได้ทำงานอะไร เงินก็ไม่มีสักบาท ถ้าไปโรงพยาบาล ซึ่งเป็นโรงพยาบาลรัฐระดับอำเภอ ต้องมีคนที่ติดเชื้อแล้วรู้จักหนู เอาไปพูดต่อ ๆ กัน หนูอยากตายค่ะ ตอนนี้ ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว เงินไม่มีสักบาท ท้องไม่มีพ่อ แถมติดเชื้อ HIV”
พ.ศ. 2527 โรคเอดส์ได้แพร่เข้ามาสู่ประเทศไทย โดยระบุมีชายติดเชื้อเอชไอวีคนแรกเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แต่ผู้คนในสังคมไทยก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก โดยเฉพาะผู้ติดเชื้อคนแรกนั้นได้ชื่อว่าเป็น “ชายรักร่วมเพศหรือผู้ที่ปัจจุบันได้ชื่อว่ามีความหลากหลายทางเพศ” คนทั่วไปจึงมองว่าไม่เกี่ยวข้องกับคนที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มความหลากหลายทางเพศ หรือไม่ได้เป็น “เกย์” นั่นเอง
ในระยะสองปีถึงสามปีแรก ผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีจำนวนเพิ่มขึ้นไม่มากนัก และประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้คิดหรือรู้ว่าตนเองมีความเสี่ยงหรือไม่แค่ไหน ศูนย์ฮอทไลน์เพิ่งจะเริ่มเปิดให้บริการปรึกษาปัญหาชีวิต ครอบครัว ความรัก คู่สมรส ปัญหาวัยรุ่น ฯลฯ อยู่ในช่วงการก่อตั้งวางแผนเรียนรู้ ฝึกสอนอบรม และศึกษาปัญหาสุขภาพจิตของผู้มาใช้บริการ ปัญหาโรคเอดส์ที่เกิดขึ้นจึงเหมือนเป็นปัญหาทางกายที่เรายังไม่พร้อมจะเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเริ่ม พ.ศ. 2530 เรื่อยมา ผู้มาใช้บริการด้านสุขภาพจิต ปัญหาชีวิตครอบครัว คู่สมรส และวัยรุ่น เริ่มกลายเป็นผู้ติดเชื้อเอดส์ไปด้วย ทำให้หน่วยงานเอ็นจีโอ เช่น ศูนย์ฮอทไลน์ ถูกกระตุ้นโดยสถานการณ์และผู้มีปัญหาให้หันกลับมาศึกษา ทำความเข้าใจและพัฒนาทักษะการให้คำปรึกษาแนะนำเอชไอวี/เอดส์ โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายการแพทย์ระบุว่า ยังไม่มียารักษาเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ให้หายได้ การให้คำปรึกษาแนะนำในการดำเนินชีวิต หรือทักษะการให้คำปรึกษาแนะนำที่ถูกต้องเท่านั้น จึงจะช่วยให้ผู้ติดเชื้อเอดส์หันมาดูแลสุขภาพกาย เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อช่วยให้สามารถมีชีวิตยืนยาวต่อไปได้
พ.ศ. 2531 ถึง พ.ศ. 2540 องค์กรสหประชาชาติ องค์กรเงินทุนต่างประเทศหลายแห่ง ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ได้สนับสนุนงบประมาณให้เจ้าหน้าที่องค์กรเอ็นจีโอ ตลอดจนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของประเทศไทย ได้เดินทางไปเรียนรู้ ศึกษาและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับหน่วยงานในประเทศยุโรป รวมทั้งหลายประเทศในแอฟริกา ซึ่งในขณะที่ประเทศไทย เพิ่งจะมีผู้ติดเชื้อเอดส์จำนวนไม่มาก แต่หลายประเทศในแอฟริกามีผู้ติดเชื้อไปแล้วถึงหนึ่งในสามของจำนวนประชากร การไปประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ในประเทศเหล่านั้น เพื่อจะได้นำประสบการณ์ของประเทศต่าง ๆ มาใช้ในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวีในประเทศไทย
ปีนั้นผู้เขียนและทีมงานศูนย์ฮอทไลน์ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข ได้เดินทางไปประชุมที่ประเทศเซเนกัล เจ้าหน้าที่จากประเทศอูกันดา ซิมบัคเว เซเนกัล เล่าว่าประเทศของเขาอยู่ท่ามกลางทะเลทรายอันแห้งแล้งและยากจน การติดต่อสื่อสารระหว่างประชาชนในประเทศเหล่านี้ไม่ได้สะดวกหรือง่ายนัก แต่ก็ยังต้องมีการแลกเปลี่ยนซื้อขายผ่านทางรถบรรทุกระหว่างกัน โดยเฉพาะในเวลากลางคืน รถบรรทุกพืชพันธุ์จะเดินทางผ่านทะเลทรายอันแห้งแล้ง บนเส้นทางจะมีสถานที่พักรถเพื่อเติมน้ำมัน หรือพักผ่อนของคนขับรถเหล่านี้ และด้วยความยากจนของผู้คนชาวบ้านที่อาจมีบ้านอยู่ระหว่างทางหรือที่ใกล้เคียง ทั้งเด็กสาวและผู้หญิงทุกวัย จะแอบแฝงเข้ามาขายบริการกับคนขับรถเหล่านี้ที่บริเวณพักรถยามราตรี และคนขับรถระหว่างประเทศนี่เอง ที่ได้นำพาเชื้อเอชไอวีไปแพร่กระจายในหลายประเทศรอบ ๆ ซึ่งสถานการณ์ในทุกประเทศในแอฟริกาก็ไม่ต่างกันนัก เพราะประเทศเหล่านี้ โอกาสที่ผู้หญิงจะได้งานทำมีรายได้เป็นไปได้น้อย ต้องอาศัยพึ่งพิงการส่งเสียดูแลของฝ่ายชาย เมื่อรายได้ไม่พอจะเลี้ยงคนในครอบครัว ผู้หญิงก็ต้องขายบริการทางเพศ เริ่มตั้งแต่ส่งลูกสาวออกไปขายบริการแก่ชายสูงวัยซึ่งมักจะมีรายได้สูงกว่าคนทั่วไป หากบริการถูกใจผู้สูงวัยก็อาจรับเลี้ยงไว้ลับ ๆ ผู้หญิงส่วนใหญ่ในประเทศเหล่านั้นจึงเหมือนอยู่ในสภาพเป็น “วัตถุทางเพศ” ส่วนผู้ชายก็จะมีพฤติกรรมมากชู้หลายเมียไปทั่ว
ลักษณะการเล่าเรื่องราวของพฤติกรรมผู้ชายและชายสูงวัยในประเทศแอฟริกาเหล่านั้น โดยเฉพาะข้าราชการชายระดับสูงไปไหนก็ต้องมีการเตรียมเด็กสาว หญิงสาวมาปรนนิบัติดูแลหรือมาบำรุงบำเรอผู้ชายตัณหาจัดเหล่านี้ ทำให้ผู้เขียนนึกถึงพฤติกรรมข้าราชการระดับสูงในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มในกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข หรือข้าราชการในกระทรวงมหาดไทย ฯลฯ เจ้าหน้าที่สาวระดับล่างมากมายมีประสบการณ์ถูกเบียดเบียนทางเพศเช่นกัน เมื่ออยู่ในกลุ่มคนไทยด้วยกัน ผู้เขียนจึงพูดออกมาตรง ๆ ว่า นี่เป็นพฤติกรรม “สำส่อน” ที่ไม่ต่างจากชายไทยมากมาย หากเราไม่เลิกพฤติกรรมสำส่อนนี้ ประเทศไทยอาจมีคนติดเอดส์ไม่ต่างจากในแอฟริกา
แน่นอน.....คนมากมายค้านเสียงหลง แม้แต่ในใจของผู้เขียนเองก็มีความเชื่อว่า ประเทศไทยไม่ใช่แอฟริกา เราเป็นประเทศที่ค่อนข้างเจริญ ผู้คนมีการศึกษาและประเทศไทยไม่ได้ยากจนเช่นประเทศเหล่านั้น แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เจ้าหน้าที่ระดับสูงท่านหนึ่ง กล่าวเตือนผู้เขียนด้วยทีท่าทีเล่นทีจริงว่า “พี่อรอนงค์ อย่าพูดคำว่าสำส่อนบ่อยนัก!” อ้าว “ทำไมหรือ?” ผู้เขียนย้อนถามด้วยความแปลกใจ เขาหัวเราะและตอบว่า “พูดคำว่าสำส่อน สะเทือนใจผู้ใหญ่ในกระทรวง!” จากการพูดทีเล่นทีจริง กลายเป็นเรื่องจริงจัง เพราะนั่นหมายความว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงท่านนี้ออกมายอมรับและยืนยันว่านี่เป็นพฤติกรรมของผู้ชายมากมายในสังคมไทย และหากเรายังไม่จริงจังในการพูดความจริง สิ่งที่เราทุกคนกลัวก็คงอยู่ไม่ไกล ในปีนั้นประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อเอดส์เพียงไม่กี่ร้อยคน จากรายงานทางสถิติที่กระทรวงสาธารณสุขได้รับ แต่ไม่ถึงสิบปี หลังจากนั้น สถิติการติดเชื้อเอชไอวีในประเทศไทยพุ่งขึ้นสูงกว่าหนึ่งล้านคน!
แน่นอน.....สถิติผู้ติดเอดส์สูงสุดก็คงเป็นจังหวัดทางภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ฯลฯ จังหวัดที่ผู้คนชอบไปท่องเที่ยว และเมื่อผู้ชายนักท่องเที่ยวไปถึงแล้วถ้าไม่ไปเยี่ยมเยียนแถวประตูดิน ก็ต้องบอกว่าคนนั้นยังไม่ถึงเชียงใหม่ เนื่องจากมูลนิธิศูนย์ฮอทไลน์มีสาขาแรกที่เชียงใหม่เรียกกันว่า “ศูนย์ฮอทไลน์เชียงใหม่” เปิดให้บริการหลังศูนย์ฮอทไลน์กรุงเทพฯ เปิดเพียงปีเดียว คือ พ.ศ. 2529 สถานการณ์ของศูนย์ฮอทไลน์เชียงใหม่ก็เช่นเดียวกับกรุงเทพฯ คือเรายังไม่ต้องการทำงานด้านโรคเอดส์ เพราะมีแผนการอื่นอยู่ แต่ไม่นานผู้ใช้บริการปกติทั่วไปของศูนย์ฮอทไลน์จำนวนมากกลายเป็นผู้ติดเชื้อเอดส์ ทำให้ทีมงานต้องปรับแผนโครงการและหันมาทำการศึกษาเกี่ยวกับโรคเอดส์อย่างจริงจัง
ที่สำคัญประเทศไทยใช้เวลาประมาณห้าปีในการตั้งหลัก กว่ากระทรวงสาธารณสุขจะได้ผ่านข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกมาว่า โรคเอดส์เป็นโรคที่ติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งยังไม่มียารักษาให้หายขาดได้ วิธีเดียวที่จะสามารถควบคุมโรคเอดส์ไม่ให้แพร่หลายไปได้ ก็คือการมีเพศสัมพันธ์อย่างสำรวม โดยเฉพาะชายรักเพศเดียวกัน และผู้ที่ชอบเที่ยวหรือชอบมีเพศสัมพันธ์กับหญิงที่ไม่ใช่ภรรยาของตน ควรต้องใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เพราะถุงยาอนามัยเป็นสิ่งเดียวหรือวิธีเดียวในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคเอดส์หรือเชื้อเอชไอวีได้
เมื่อถุงยางอนามัย (Condom) เป็นสิ่งเดียวที่จะใช้ในการป้องกันควบคุมโรคเอดส์ได้ แต่มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีมากแล้วในช่วงนั้น การป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อเอดส์รู้สึกอับอาย ท้อแท้สิ้นหวังจนถึงการพยายามฆ่าตัวตายจึงเป็นเรื่องจำเป็น กระบวนการให้คำปรึกษาแนะนำซึ่งเป็นที่คุ้นเคยในประเทศที่พัฒนาแล้ว จึงเป็นวิธีเดียวที่เจ้าหน้าที่และผู้เกี่ยวข้องกับโรคเอดส์จะสามารถนำไปใช้ได้ และในขณะนั้น ทั้งประเทศไทย มีศูนย์ให้คำปรึกษาแนะนำ (Counseling Center) โดยนักวิชาชีพเพียงแห่งแรกและแห่งเดียวคือ ศูนย์ฮอทไลน์หรือมูลนิธิศูนย์ฮอทไลน์นั่นเอง และจากสถานการณ์ตรงนี้ที่มูลนิธิศูนย์ฮอทไลน์ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงสาธารณสุขและสถานทูตหลายแห่งในประเทศไทย ให้เปิดบริการให้คำปรึกษาแนะนำโรคเอดส์ เพิ่มขึ้นจากปัญหาชีวิตครอบครัว คู่สมรส วัยรุ่น ปัญหาสุขภาพจิต ฯลฯ ซึ่งให้บริการอยู่แล้ว และเปิดหลักสูตรพัฒนานักวิชาชีพที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำ ตลอดจนพยาบาลตามโรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อให้ความรู้เรื่องโรคเอดส์ และให้บริการแก่ประชาชนที่ติดเอดส์ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
กระบวนการศึกษาเพื่อพัฒนาหลักสูตรการให้ความรู้โรคเอดส์ ซึ่งจุดมุ่งหมายสูงสุดคือการป้องกันและควบคุมโรคเอดส์ไม่ให้แพร่ระบาด โดยมีทักษะการให้คำปรึกษาแนะนำ (Counseling skill) เป็นเครื่องมือในการปรับเปลี่ยนทัศนคติพฤติกรรมและการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ทั้งทางตรงและทางอ้อม เริ่มจาก โรคเอดส์หรือเชื้อเอชไอวีติดต่อและแพร่ทางเพศสัมพันธ์ แต่เราไม่สามารถระงับหรือยุติเพศสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ทั้งหมดลงได้ เพราะเพศสัมพันธ์เป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงคงอยู่ของมนุษย์ชาติ เราอาจทำได้เพียงช่วยให้ทุกคนสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างปลอดภัย สำรวม และมีความรับผิดชอบต่อพฤติกรรมทางเพศของตนเองมากขึ้น
สมัยนั้น ประชาชนในสังคมไทยส่วนใหญ่มีความเข้าใจว่า เอดส์เป็นโรคของชายรักชายหรือ “เกย์” และหากเป็นเพศหญิงก็คงเป็นผู้หญิงที่ขายบริการทางเพศ โดยเฉพาะคนไทยยอมรับพฤติกรรมการเที่ยวโสเภณีของผู้ชายไทยว่าเป็นเรื่องปกติ ฉะนั้นผู้หญิงแม่บ้าน ตลอดจนผู้หญิงนักวิชาชีพทั่วไปจึงไม่ใช่ “กลุ่มเสี่ยง” หรือไม่ต้องสนใจเรื่องโรคเอดส์เพราะไม่ใช่เรื่องของเรา!
นานมาแล้ว เมื่อครั้งที่ผู้เขียนยังเป็นนักศึกษาอยู่วิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา ผู้เขียนอาศัยอยู่กับครอบครัวอเมริกัน ซึ่งต่างกับเพื่อน ๆ ฝรั่งที่จับคู่อยู่กันเป็นคู่ ๆ หรือเช่าอะพาร์ตเมนต์สองห้องใหญ่แชร์กันสี่คนถึงหกคน แต่แยกส่วนหญิงกับหญิง บ้างก็ชายกับชาย และบ้างก็หญิงกับชาย กรณีเป็นคู่หญิงชายก็จะเป็นคู่รักกัน ซึ่งพฤติกรรมการอยู่ด้วยกันก่อนแต่งงานนี้ ถือเป็นการทดลองอยู่ก่อนแต่งเพื่อเรียนรู้จักกัน และเราจะเรียกพฤติกรรมนี้กันว่า “ฟรีเซ็กซ์” ซึ่งมีเงื่อนไขเป็นที่ยอมรับกันได้ คือ
เงื่อนไขของฟรีเซ็กซ์ หรือแปลเป็นภาษาไทยว่า “เสรีภาพทางเพศ” หรือ เพศเสรี สำหรับหญิงชายที่ตัดสินใจจะอยู่ด้วยกัน จะด้วยเหตุผลทางอารมณ์หรือเพราะความจำเป็นทางเศรษฐกิจก็ตาม ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว เพื่อน ๆ หรือผู้ไม่เกี่ยวข้องไม่สมควรจะไปซักถาม เพราะหญิงชายที่สมัครจะอยู่ด้วยกันก่อนแต่งงานนั้น จะต้องมีวุฒิภาวะที่สมบูรณ์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ในอีกความหมายหนึ่งคือทั้งสองคนถือว่าโตแล้ว อายุเกิน 18 ปี มีสุขภาพทางกายแข็งแรงสมบูรณ์ สุขภาพจิตดี ที่สำคัญไม่ยึดติดเรื่องของ “พรหมจรรย์” ฝ่ายชายก็จะไม่ถามว่าเธอมีผู้ชายมาแล้วกี่คน หรือฝ่ายหญิงไม่คิดว่าเซ็กซ์เป็นเรื่องของการเสียเปรียบทางเพศ แต่เป็นเรื่องของความสมัครใจ และเป็นการตัดสินใจระหว่างคนสองคน ที่จะยอมรับภาระผูกพันร่วมกัน มีความสามารถในการวางแผนชีวิตร่วมกัน มีความรับผิดชอบ สามารถพึ่งพิงตนเองได้ มีการแสดงออกที่เปิดเผยคือเพื่อน ๆ และผู้เกี่ยวข้องเข้าใจว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์กัน หากคนหนึ่งคนใดเปลี่ยนใจหรือพบคนใหม่ การแยกทางภายในช่วงระยะเวลาหนึ่งเมื่อสิ้นสุดหรือเลิกร้างกันแล้ว จึงจะเริ่มต้นคบคนใหม่ ไม่มีการคบหากับหญิงหรือชายไปพร้อม ๆ กันมากกว่าหนึ่งคนขึ้นไป
เงื่อนไขดังกล่าว นักศึกษาต่างชาติเช่นผู้เขียนก็ได้รับการบอกเล่า พูดคุย จนมองว่าเป็นเรื่องปกติ เป็นชีวิตของนักศึกษาระหว่างเรียนในมหาวิทยาลัยที่ยอมรับได้ ครอบครัวตะวันตกส่วนใหญ่เมื่อลูกหญิงชายอายุถึง 18 ปี ก็ถือว่าโตแล้วต้องออกไปทำงานส่งเสียตนเอง หรือกู้ยืมเงินสวัสดิการของรัฐ เมื่อเรียนจบก็ชดใช้เงินคืน ซึ่งต่างจากครอบครัวไทยในอดีตจนถึงปัจจุบัน เพราะฉะนั้นการมีฟรีเซ็กซ์ คนตะวันตกจึงไม่พิจารณาว่าเป็นเรื่องเสียหาย แต่เป็นพฤติกรรมทางเพศที่แสดงความรับผิดชอบของหนุ่มสาว จะไม่มีการเปลี่ยนคู่บ่อย หรือหากหญิงชายมีการเปลี่ยนคู่แลกคู่หรือคบหาเพศตรงข้ามพร้อม ๆ กันหลายคน พฤติกรรมนั้นจึงจะถูกเรียกว่าพฤติกรรม “สำส่อนทางเพศ” รวมถึงการใช้บริการทางเพศซึ่งผิดกฎหมายในประเทศไทยและอีกหลายประเทศ
อย่างไรก็ตามนักศึกษาไทยมากมายอาจยังไม่เข้าใจพฤติกรรมและเหตุผล ในการใช้ชีวิตร่วมกันระหว่างคู่รักก่อนแต่งงาน โดยเฉพาะในช่วงที่สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงรับเอาวัฒนธรรมและพฤติกรรมของคนตะวันตกผ่านทางสื่อตะวันตก โดยเฉพาะภาพยนตร์ฮอลลีวูด ที่ทำให้คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจว่าคำว่า ฟรีเซ็กซ์ หมายความว่าจะคบหาไปนอนมีเซ็กซ์กับเพศตรงข้ามสักกี่คนก็ได้ เป็นความเสรีทางเพศ เป็นความทันสมัยที่ผู้ชายไทยในอดีตยึดถือปฏิบัติกันเรื่อยมาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น หากวัยรุ่นจะทำอย่างในภาพยนตร์ตะวันตก หรือในสังคมที่พัฒนาแล้ว ก็ถือเป็นเรื่องที่ทันสมัยของคนรุ่นใหม่! จึงเห็นได้ว่า เป็นความเข้าใจผิดของคนไทยส่วนใหญ่ที่ “นำคำว่าฟรีเซ็กซ์มาใช้แทนคำว่าสำส่อน” หรือสับสนพฤติกรรมสำส่อน ว่าเป็นเสรีภาพทางเพศหรือฟรีเซ็กซ์นั่นเอง
ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ภายในระยะเวลาห้าปีถึงสิบปีของการแพร่ระบาดโรคเอดส์ จากจำนวนผู้ติดเชื้อเอดส์เพียงคนเดียวกลายเป็นมีผู้ติดเชื้อมากกว่าหนึ่งล้านคน ทั้งหน่วยงานเอกชนหรือเอนจีโอ กับหน่วยงานของรัฐ ต่างต้องทำงานกันอย่างหนักเพื่อควบคุมปกป้องผู้ที่ยังไม่ติดเอดส์ รวมทั้งผู้ติดเชื้อเอชไอวีและสมาชิกในครอบครัว มูลนิธิศูนย์ฮอทไลน์ในฐานะผู้บุกเบิกทักษะการให้คำปรึกษาแนะนำทางโทรศัพท์ ก็ได้ดำเนินการบุกเบิกทักษะการให้คำปรึกษาแนะนำเอชไอวี/เอดสและทักษะการให้ความรู้โรคเอดส์ที่เน้นเรื่องการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและพฤติกรรมทางเพศในระยะยาว ตั้งแต่แรกเกิด จนถึงหลังความตาย (โปรดติดตามตอนต่อไป)
อย่างไรก็ตาม ถึงสถานการณ์โรคเอดส์จะสร้างปัญหาความสับสนขัดแย้งมากมายทั้งด้านสุขภาพกายและสุขภาพใจมาสู่ผู้คนในสังคมไทย แต่โรคเอดส์ก็ได้นำสิ่งดี ๆ ความเปลี่ยนแปลงดี ๆ มากมายมาสู่สังคมไทยเช่นกัน เริ่มจากการติดต่อสื่อสารที่ได้รับการพัฒนาในทุกระดับ ตั้งแต่ในครอบครัว ชุมชน ระหว่างองค์กรภาครัฐและเอกชนหรือเอ็นจีโอตลอดจนในระดับประเทศ ระหว่างประเทศและภูมิภาคทั่วโลก ต่างยอมรับว่าการจะแก้ไขปัญหาโรคเอดส์ ทุกคนทุกส่วนทั่วโลกต้องหันมาพูดคุยแลกเปลี่ยน ร่วมมือกันควบคุมปกป้องปัญหาการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ไม่ให้ลุกลามต่อไป ถึงกระนั้นก็ยังไม่พอเพราะนั่นเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น เนื่องจากปัญหาหลักของโรคเอดส์เริ่มต้นที่คำว่า “เพศสัมพันธ์หรือเซ็กซ์” ซึ่งประชาชนในหลายประเทศทั่วโลกยังไม่มีความรู้ความเข้าใจเพียงพอ โดยเฉพาะประเทศไทยที่ทัศนคติ ความรู้ ความเชื่อ ตลอดจนวัฒนธรรม ประเพณีและสิ่งแวดล้อมยังตรงกันข้ามกับประเทศตะวันตก
“เซ็กซ์เป็นเรื่องที่ทุกคนอยากรู้ แต่ต้องปิดประตูพูด” หรือ “คนดี ๆ ไม่พูดกันเรื่องเซ็กซ์” ฯลฯ นี่เป็นคำพูดเปรียบเทียบที่สะท้อนถึงความไม่เข้าใจในบทบาทหน้าที่และความสัมพันธ์ระหว่างเพศหญิงเพศชาย และกับเพศสัมพันธ์ว่าไม่เหมือนกันแต่มีความสัมพันธ์กัน เริ่มจากพ่อแม่ผู้ปกครองในบ้านในครอบครัว ที่อาจจะไม่มีความรู้เรื่อง “เซ็กซ์หรือเพศสัมพันธ์” จริง ๆ ว่าคืออะไร เป็นอย่างไร และจะพูดอย่างไรให้ลูก ๆ เข้าใจ ผ่านจากพ่อแม่ไปถึงครูอาจารย์ในโรงเรียน ซึ่งนอกจากไม่มีความรู้แล้วยังอาจมีความเชื่อผิด ๆ ที่นำไปสู่ปัญหาให้ต่อเนื่องลุกลามต่อไป เช่น ทีมนักจิตวิทยามูลนิธิศูนย์ฮอทไลน์ หลายครั้งได้เปิดฝึกอบรมคุณครูจากหลายโรงเรียนในจังหวัดเชียงใหม่เกี่ยวกับการให้ความรู้โรคเอดส์แก่เยาวชนไทย ตอนหนึ่งถามคุณครูในห้องเรียนว่า “หากนักเรียนมาถามเรื่องเพศสัมพันธ์หรือเซ็กซ์คืออะไร?” คุณครูจะตอบว่าอย่างไร คุณครูชายท่านนั้นตอบอย่างจริงจังว่า “ผมก็พาไปขึ้นครูสิ ของอย่างนี้มันต้องเจอของจริง!”
เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่า หลายปีของการแพร่ระบาดโรคเอดส์ในภาคเหนือ มีผู้คนหญิงชายทุกวัย ล้มตายกันมากมายเหมือนใบไม้ร่วง! เพราะการเรียนรู้เรื่องเพศศึกษาผ่านทางการใช้บริการทางเพศนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ เมื่อทีมงานของมูลนิธิศูนย์ฮอทไลน์เริ่มเรียนรู้เรื่องโรคเอดส์เพื่อจัดหลักสูตรเรื่องเอดส์ ใส่แทรกเข้าไปในทักษะการให้คำปรึกษาแนะนำ จึงต้องเริ่มที่เพศสัมพันธ์หรือเซ็กซ์คืออะไร และหลักสำคัญของการมีเพศสัมพันธ์หรือเซ็กซ์ เพื่ออะไร
ในอดีตผู้คนส่วนใหญ่คิดได้แต่เพียงว่า เซ็กซ์เป็นความต้องการตามธรรมชาติ พฤติกรรมทางเพศของหญิงชายเกิดขึ้นเพื่อจรรโลงเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้สืบทอดต่อไป แต่สมัยก่อนยังไม่มีข้อจำกัดที่จะใช้ป้องกันประชากรไม่ให้ล้นโลก และยังไม่มีโรคร้ายแรงที่เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ทางเพศ วิธีหรือเครื่องป้องกันการติดเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์ก็ยังไม่เกิดขึ้น จนกระทั่งในปัจจุบัน วิทยาศาสตร์การแพทย์ได้พัฒนาออกไปอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถรักษาให้หายได้ และยังสามารถป้องกันโดยฉีดวัคซีน หรือวัสดุที่จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็น “ถุงยางอนามัย” ในการควบคุมประชากร ป้องกันการตั้งครรภ์ หรือป้องกันการติดโรคทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะเมื่อโรคเอดส์ยังรักษาไม่หายถุงยางอนามัยจึงเป็นเครื่องมือป้องกันที่สำคัญสำหรับประชาชนในยุคนี้
การจะป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ จึงต้องเริ่มต้นที่การให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเอดส์ โรคเอดส์หรือเชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าสู่ร่างกายทางเพศสัมพันธ์หรือน้ำคัดหลั่งในร่างกาย เช่น เลือด น้ำอสุจิ นั่นคือคนคนหนึ่งจะติดเชื้อเอชไอวีได้จากการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ติดเอชไอวี/เอดส์อยู่แล้ว โดยไม่ได้ป้องกัน ทำให้เกิดการแลกเลือด แลกน้ำกามกันและกัน เพราะฉะนั้น การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี หากไม่แน่ใจว่าใครติดเอดส์หรือไม่ หรือการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช่คู่ครองไม่คุ้นเคย ควรต้องป้องกันโดยใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
แหละเพราะถุงยางอนามัยเป็นเพียงเครื่องมือชนิดเดียวที่สามารถใช้เพื่อป้องกันการติดเอดส์ได้ แต่ที่ผ่านมา คนทั่วไปใช้ถุงยางอนามัยไม่เป็น เนื่องจากในทางการแพทย์นักวิชาชีพจะใช้ถุงยางอนามัยเสมือนเป็นเครื่องมือแพทย์ชนิดหนึ่ง ประชาชนทั่วไปจึงไม่สนใจจะทำความเข้าใจวิธีใช้วิธีเก็บรักษา เพราะนอกจากถุงยางอนามัยจะเป็นเครื่องมือแพทย์ชนิดหนึ่งแล้ว “โดยทั่วไปนอกโรงพยาบาล ถุงยางอนามัยมีไว้ให้ผู้ชายใช้กับผู้หญิงขายบริการ” ผู้หญิงดี ๆ จะไม่พูดถึงถุงยางอนามัย!
นั่นหมายความว่า ก่อนจะก้าวเข้าสู่พฤติกรรมทางเพศหรือมีเซ็กซ์กับผู้หนึ่งผู้ใด ทั้งหญิงและชายจะต้องเข้าใจวิธีใช้และเก็บรักษาถุงยางอนามัยให้ถูกวิธี แม้ว่าปัจจุบันจะมีถุงยางอนามัยเฉพาะของผู้ชายใช้เท่านั้น แต่ผู้หญิงทุกคนต้องเรียนรู้ในการป้องกันและควบคุมให้ฝ่ายชายใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่รู้ว่าฝ่ายชายมีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศกับหญิงอื่น ซึ่งพฤติกรรมสำส่อนทางเพศก็อาจจะนำเชื้อเอชไอวีมาสู่ภรรยาที่บ้านได้เช่นกัน และในทุกครอบครัว หากสามีติดเอดส์ ภรรยาจะต้องเป็นคนดูแล หากฝ่ายภรรยาติดเอดส์ด้วย ผู้หญิงจะต้องดูแลทั้งสามีและตัวเอง ซึ่งสถานการณ์จะแย่ลงอีกหากฝ่ายหญิงตั้งครรภ์ เพราะเธอจะต้องอยู่กับความรู้สึกผิดในการที่จะให้กำเนิดทารกที่อาจติดเอดส์จากแม่อีกด้วย
ปัญหาโรคเอดส์ที่ผ่านมาที่เชื่อว่าเอดส์เป็นเรื่องของเกย์ ความจริงคือทั้งชายหญิงทั่วไปก็สามารถติดเอดส์ได้ โดยเฉพาะผู้หญิงแม่บ้านที่เคยคิดว่า โรคเอดส์ ไม่ใช่โรคสำหรับผู้หญิงดี ๆ แต่การยอมรับหรือปล่อยให้ฝ่ายชายคือสามีเที่ยวโสเภณีได้โดยไม่มีการป้องกัน นำหายนะมาสู่ภรรยาหรือครอบครัว เมื่อคนที่บ้านก็ต้องติดเอดส์เสียชีวิตไปด้วยกันทั้งที่ไม่ได้มีพฤติกรรมสำส่อนทางเพศแต่อย่างใด โดยเฉพาะเมื่อการติดเอดส์ส่งผลกระทบต่อผู้หญิงในครอบครัวทุกคน จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ “ผู้หญิง” จะต้องมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มอำนาจการต่อรองทางเพศ เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ นั่นคือ ที่ผ่านมาผู้หญิงในสังคมไทย เริ่มจากวัยรุ่นมักจะปล่อยให้ฝ่ายชายเป็นผู้นำในพฤติกรรมทางเพศสัมพันธ์ เช่น หากถามฝ่ายหญิงว่า “ทำไมจึงไปมีเซ็กซ์กับเขา เพิ่งพบกันไม่กี่ครั้งเอง?” เธอมักจะตอบว่า “เขาบอกว่า เป็นแฟนกันไม่มีเซ็กซ์ ก็จะไม่ผูกพันกัน” พฤติกรรมที่คนรุ่นใหม่มักใช้อ้าง หรือที่สะท้อนให้เห็นชัดเจนคือ “ฝ่ายชายเอารักไปแลกเซ็กซ์.....นั่นคือ ถ้าเราต้องการจะคบกันรักกันต่อไป เราก็ต้องมีเซ็กซ์กัน ไม่มีเซ็กซ์กับฉัน ฉันก็คงไม่รักเธอ” ในขณะที่ “ฝ่ายหญิงเอาเซ็กซ์ไปแลกรัก.....นั่นคือ คาดว่าเมื่อมีเซ็กซ์กับเขาแล้ว เราจะรักและผูกพันกันต่อไป!” เพราะฉะนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นจากความไม่รู้ ไม่ชัดเจนในเพศสัมพันธ์ นำไปสู่การเอาเปรียบทางเพศ และปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย
หลักสูตร การให้ความรู้เรื่องโรคเอดส์ เพื่อการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคเอดส์จึงต้องเริ่มต้นด้วยการให้ความเข้าใจในพฤติกรรมสำส่อนกับฟรีเซ็กซ์ว่าแตกต่างกันกันอย่างไร ได้ระบุไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ที่สำคัญคือ “เซ็กซ์คืออะไร?” ทั้งวัยรุ่นและผู้คนจำนวนมากจะตอบว่า “เป็นความต้องการตามธรรมชาติ” ซึ่งก็ถูกต้อง แต่เราจะปล่อยชีวิตและพฤติกรรมของเราให้เป็นไปตามธรรมชาติเท่านั้นเองหรือ แล้วมนุษย์กับสัตว์โลกอื่น ๆ จะแตกต่างกันอย่างไร ถ้าเป็นไปตามธรรมชาติเฉย ๆ มันเป็นการเข้าข้างความต้องการทางเพศของเราข้างเดียวหรือไม่ เพราะเมื่อเป็นธรรมชาติ เราก็หมดเรื่องจะคุยกันต่อเพราะก็ต้องปล่อยไปตามธรรมชาติเช่นนั้นหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นจะถามใหม่ “เซ็กซ์คืออะไร?”
คำถามที่เราต้องถามตนเอง (ผู้ใหญ่) คือเราต้องการให้วัยรุ่นมีพฤติกรรมทางเพศเป็นอย่างไร เราอยากเห็นวัยรุ่นแสดงพฤติกรรมฟรีเซ็กซ์ หรือพฤติกรรมสำส่อนทางเพศ เพราะอะไร? ที่ผ่านมาวัยรุ่นเข้าใจผิดว่าการไปข้องเกี่ยวกับเพศตรงข้ามมากหน้าหลายตาเป็นความอิสระทางเพศ หรือฟรีเซ็กซ์ ซึ่งแท้จริงคือพฤติกรรมสำส่อน เพราะฉะนั้นคำว่าสำส่อนไม่ใช่คำที่ดี ส่วนคำว่า “ฟรีเซ็กซ์” นั้นมีความพร้อม มีความรับผิดชอบมากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง หากผู้ใหญ่ต้องการให้วัยรุ่นยุติพฤติกรรมสำส่อน และกลับมามีความรับผิดชอบเพื่อป้องกันเขาจากการติดเอดส์ เป็นเรื่องจำเป็นมากที่พ่อแม่ ผู้ปกครองจะต้องอธิบายความหมายของฟรีเซ็กซ์ ว่าตรงกันข้ามกับสำส่อน ผู้ใหญ่ต้องเตรียมความพร้อมให้วัยรุ่นก่อนจะก้าวไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะวัยรุ่นชายจะต้องมีความพร้อมในพฤติกรรมของตนเอง ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับฝ่ายหญิงโดยไม่คำนึงว่าจะเกิดปัญหาอะไรตามมากับฝ่ายหญิงบ้าง หรือหากเกิดปัญหาขึ้น ฝ่ายชายต้องแสดงความรับผิดชอบร่วมกับฝ่ายหญิง
ความพร้อมของฝ่ายชายนั้น เริ่มต้นจากการเรียนรู้วิธีใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง จะเกี่ยงว่าเป็นหน้าที่ของฝ่ายหญิงต้องคุมกำเนิดเองไม่ได้ เพราะการมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องของคนสองคนทั้งหญิงและชาย หากฝ่ายชายยังไม่พร้อม คิดป้องกันไม่เป็น ฝ่ายหญิงก็ต้องยุติเกี่ยวข้องกับฝ่ายชาย เพราะหากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน พลาดพลั้งตั้งครรภ์ขึ้นมา ฝ่ายหญิงก็จะต้องเผชิญปัญหาตามลำพัง ที่สำคัญทั้งหญิงชายจะต้องตระหนักถึงคุณประโยชน์ของถุงยางอนามัยว่า สามารถป้องกันการติดเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์ ป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี/เอดส์ และช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ขณะยังไม่พร้อม โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายหญิงอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อปัญหาที่จะตามมาจากการขาดความรับผิดชอบของฝ่ายชาย ผู้หญิงจึงต้องเรียนรู้ในการจัดการ “เพิ่มอำนาจการต่อรองทางเพศ” ให้แก่ตนเองด้วยการพิจารณาตัดสินใจว่า ผู้ชายจะต้องใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่จะมีเพศสัมพันธ์กับเธอ หากเธอเตือนแล้ว เขายังเฉยไม่ให้ความสำคัญกับการเตือนของเธอ แสดงว่าฝ่ายชายยังไม่พร้อมที่จะแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำของเขาเอง ดังนั้นฝ่ายหญิงจึงไม่ควรเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์กับชายคนนั้น!
ในประเทศที่กำลังพัฒนา และสถานภาพของเพศชายได้รับการยอมรับมากกว่าผู้หญิง ดังเช่นประเทศไทยนั้น ผู้หญิงส่วนใหญ่จะยอมรับว่า การไปเที่ยวหญิงบริการเป็นเรื่องปกติของผู้ชาย ทั้งยังปฏิเสธอำนาจการต่อรองทางเพศ เช่น เมื่อฝ่ายชายหรือสามีมีพฤติกรรมสำส่อนทางเพศ แล้วกลับมามีเพศสัมพันธ์กับภรรยาโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ฝ่ายหญิงก็ไม่โต้แย้งไม่คัดค้าน ไม่ปฏิเสธ โดยเข้าใจว่าการใช้ถุงยางเป็นเรื่องของผู้ชาย ผลที่ตามมาคือมีภรรยาจำนวนมากที่อยู่บ้านเป็นแม่บ้าน หรือทำงานตามปกติไม่ได้เกี่ยวข้องกับชายอื่นมีอาการติดเอดส์กันไปด้วย เนื่องจากสามีติดเอดส์จากสถานบริการแล้วนำกลับมาบ้าน เพราะไม่ยอมใช้ถุงยางอนามัย ปรากฏการณ์ครั้งนี้ทำให้ต้องมีการกระตุ้นผู้หญิง ให้เพิ่มอำนาจการต่อรองทางเพศให้มากขึ้น เพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสเอชไอวี นั่นคือ หากรู้ว่าสามีมีพฤติกรรมสำส่อนคบหาผู้หญิงมากหน้าหลายตา ทั้งชอบเที่ยวหญิงบริการ ภรรยาต้องยืนยันให้สามีใช้ถุงยางอนามัยด้วยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ทั้งนี้รวมถึงผู้หญิงทั่วไปตลอดจนผู้หญิงขายบริการด้วย
จากการสำรวจและรวบรวมสถิติผู้ติดเชื้อเอดส์กลับพบว่า ในกลุ่มวัยรุ่นมีสถิติการติดเอดส์สูงขึ้น รวมทั้งเด็กหญิงวัยรุ่นที่ตั้งครรภ์ขณะยังไม่พร้อมมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากเช่นกัน จึงดูเหมือนการให้ความรู้ความเข้าใจความหมายของ “เพศสัมพันธ์” ในสังคมไทยจะล้มเหลวเพราะขาดข้อมูลและเงื่อนไขในการอธิบายอย่างเป็นเหตุเป็นผลว่า การประพฤติปฏิบัติอย่างฟรีเซ็กซ์นั้น ไม่ใช่พฤติกรรมสำส่อนอย่างที่วัยรุ่นส่วนใหญ่เข้าใจ หากคนหนึ่งคนใดต้องการจะฟรีเซ็กซ์ก็ต้องแสดงความพร้อม และมีความรับผิดชอบกับการกระทำของตนเองมากกว่าจะมีเสรีภาพทางเพศอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนพฤติกรรมตามใจตนเอง เพราะคิดว่าสิทธิในตัวของตัวเอง ทำให้ทำอะไรก็ได้เมื่ออยากทำ ความจริงคือการไม่ให้ความเคารพนับถือร่างกายตนเอง และไม่รู้ว่าพฤติกรรมสำส่อนทางเพศนี่แหละคือเส้นทางการติดเอดส์ ดังจะเห็นได้จากหลาย ๆ กรณีของชายหญิงที่ปรึกษาผ่านทางเว็บไซด์ www.hotline.or.th