มูลนิธิศูนย์ฮอทไลน์ ปรึกษาปัญหาชีวิต และโรคเอดส์ โทรฟรีทั่วประเทศ

ครอบครัว....ความรัก....และความรุนแรง (ตอน) รัก VS เซ็กซ์

15 ธันวาคม 2563
ครอบครัว....ความรัก....และความรุนแรง  (ตอน) รัก VS เซ็กซ์

ดิฉันคบกับคนรักมาห้าปีกว่า เคยเลิกกันไปหลายครั้งแต่ก็กลับมาคบกันใหม่ มีครั้งหนึ่งฉันเคยเลิกกับเขาแล้วไปมีแฟนใหม่ แล้วดิฉันก็ไปมีอะไรกับแฟนคนที่สอง ทั้งที่ยังคบกันได้แค่สองถึงสามเดือน ด้วยความรู้สึกเหงา และคงเพราะความมักง่ายของดิฉันเอง ดิฉันมีอะไรกับคนที่สองเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ต่อมาดิฉันก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่า แฟนคนที่สองคนนี้ไม่ใช่คนที่ดิฉันรักจริง ๆ ไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับดิฉัน

ดิฉันจึงกลับไปคบกับแฟนคนแรก เพราะใจของดิฉันยังรักและคิดถึงเขาอยู่มาก พอเรากลับมาคบกัน เขาก็เสียใจ ที่ระหว่างที่เราเลิกกัน ดิฉันไปคบกับคนอื่น จึงทำให้เขาเสียใจมาก แต่เขาไม่เคยไปคบกับใครเลย ซึ่งดิฉันก็พยายามทำให้เขายอมกลับมาคืนดีจนได้ เรากลับมาคบกันอีกครั้ง ความรักสดใสมากกว่าเดิม เรามีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ดิฉันรักเขามาก และเขาก็รักดิฉันมากเช่นกัน แต่มันก็ยังเกิดความรู้สึกค้างคาใจของเขา ว่าดิฉันเคยมีอะไรเกินเลยกับแฟนคนที่สองหรือไม่ ดิฉันได้แต่ปฏิเสธไปอย่างหน้าด้าน ๆ ว่าไม่เคย ดิฉันคิดว่าเขาคงไม่มีทางรู้เรื่องนี้เป็นแน่ ดิฉันอยากให้ความลับนั้นตายไปกับดิฉัน

แต่แล้วความลับก็ไม่มีโลก ดิฉันได้คุยกับแฟนคนที่สองในเฟซบุ๊ก แล้วลืมลบข้อความที่คุยกัน แฟนคนที่สองคุยเรื่องที่เราเคยมีอะไรกัน แล้วบังเอิญว่าแฟนคนแรกของดิฉันรู้รหัสผ่านของเฟซบุ๊กจึงเข้าไปเจอ เขาจึงรู้ความจริงว่าดิฉันเคยมีอะไรกับคนอื่นนอกจากเขา ซึ่งทำให้เขารับไม่ได้และเสียใจมากที่ดิฉันโกหกเขามาตลอด เขาจึงบอกเลิกดิฉัน เพราะตัวดิฉันเองที่ทำให้เขาต้องทำเช่นนี้ เขาเสียใจมากเช่นกัน เขาบอกว่าระหว่างเราคงกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว ดิฉันเสียใจมาก รู้สึกว่าดิฉันเป็นคนที่เลวมาก ที่ทำลายความรักความภักดีของผู้ชายคนหนึ่งได้ลง ดิฉันเสียใจและละอายใจมาก เกินกว่าที่จะฉุดรั้งเขาไว้ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าดิฉันควรจะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิต ดิฉันขาดเขาไม่ได้ เขาคือทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต เขาคือคนที่ดิฉันรักมากที่สุดเช่นกัน แต่ดิฉันกลับทำทุกอย่างให้พังทลายไปด้วยความเลว ความใจง่ายของดิฉันเอง ดิฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว ชีวิตดิฉันไม่เหลืออะไรแล้ว ดิฉันเสียใจมาก ทำใจไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป   ดิฉันรักเขามาก แต่ดิฉันกลับทำลายเขาเองกับมือ ดิฉันควรทำอย่างไรต่อไปดี?”

 

ตลอดกว่า 30 ปี ของงานบริการให้คำปรึกษาแนะนำของมูลนิธิศูนย์ฮอทไลน์ เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในสังคมไทย ทั้งพฤติกรรม ทัศนคติและความเชื่อที่เปลี่ยนไปตามแรงหมุนของโลก ในขณะที่ประเทศไทย คนไทยยังไม่มีความพร้อมในการรองรับความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในเรื่องของความสัมพันธ์หญิงชาย ในอดีตผู้หญิงไทยอยู่ในสถานภาพที่ด้อยกว่าผู้ชาย เพราะโอกาสทางการศึกษามีน้อย สิทธิในการตัดสินใจด้วยตนเองแทบไม่มี ผู้ชายเป็นผู้นำในการกำหนดบทบาทถูกผิดภายในครอบครัว สังคม และการเมือง ในฐานะที่ควบคุมอำนาจทางเศรษฐกิจไว้ในมือ


หลังสงครามโลก ครั้งที่ 2 ยุติลงได้ไม่นาน แต่เป็นการเริ่มต้นของสงครามเวียดนามและอีกหลายประเทศในอาเซีย  ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้เป็นคู่สงครามกับใคร แต่ก็ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องต้องรองรับฐานทัพอเมริกา ทหารอเมริกันทะลักเข้ามาประเทศไทยพร้อมกับความหอมหวานของคำว่า “สิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคระหว่างเพศ” ผ่านทางสื่อภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่คนไทยมองว่าเป็นความศิวิไลซ์ที่ต้องไขว่คว้าไว้ท่ามกลางการพัฒนาเปลี่ยนแปลงจากการได้ชื่อว่าเป็นประเทศกสิกรรมเพื่อเข้าสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรมเหมือนประเทศทางตะวันตกที่พัฒนาแล้ว    


ที่สำคัญ หลายสิบปีก่อนหน้านั้น คนไทยส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าในเรื่องเพศสัมพันธ์ หรือที่เราเรียกกันว่า “เซ็กซ์” อันหมายถึง “กิจกรรมทางเพศ” ด้วยความเชื่อที่ว่า “เซ็กซ์ ไม่ใช่เรื่องที่คนดี ๆ นำมาพูดกัน” ผู้ปกครองหรือพ่อแม่ก็ไม่มีความรู้ความเข้าใจมากพอจะนำมาอบรมสั่งสอนลูก วิธีที่ง่ายที่สุดที่ทำกันเรื่อยมาคือเมื่อลูกชายเข้าสู่วัยรุ่นก็พาไป “ขึ้นครู!” ตามสถานบริการทางเพศ ส่วนครูจริง ๆ ก็สอนอย่างอึกอักตะกุกตะกัก บ้างก็ว่า “...ยามเช้าผึ้งตัวผู้บินไปดูดน้ำหวานที่เกสรดอกไม้...แล้วบินจากไป ต่อมาผึ้งตัวเมียก็มาดูดน้ำหวานและคลุกเคล้าตัวเองบนเกสรดอกไม้ แล้วจึงกลับรัง ไม่นานผึ้งตัวเมียก็ตั้งท้องและวางไข่!” นักเรียนที่กำลังตั้งใจฟัง (หูผึ่ง) เรื่องเพศสัมพันธ์ถึงกับอ้าปากค้าง...” แล้วมันจะมีเพศสัมพันธ์กันตอนไหนครับครู?” ครูบอกว่า “....ก็มันมีไปแล้วล่ะ!

 

ครูจากโรงเรียนมัธยมชื่อดังที่สุดของเมืองไทยอีกคนอธิบายเรื่องเพศสัมพันธ์ว่า “...หญิงชายแต่งงานกัน...อยู่ด้วยกัน...(นิ่งไปชั่วครู่) ต่อมาก็มีลูก! จบว่าด้วยความรู้เรื่องเพศศึกษา เพราะฉะนั้นความรู้ความเข้าใจเรื่องเพศสัมพันธ์ระหว่างหญิงชายในสังคมไทยจึงไม่ค่อยจะราบรื่นนัก!


...แล้วความรักหวานแหววที่แสดงออกอย่างเปิดเผยก็มาพร้อมกับรายการ “มิวสิควิดีโอ” ภาพยนตร์สั้นสะท้อนความสัมพันธ์หรือความรักของหนุ่มสาวผ่านทางเสียงเพลง...ภาพวิวประกอบฉากหลังสวย ๆ หนุ่มสาวมาพบกันโดยบังเอิญ ร้องเพลงเกี้ยวกัน...สบตากัน ปิ๊งกัน...เดินจูงมือกัน แล้วภาพก็ตัดต่อไปที่ห้องนอน.....ภาพก่ายกอดพลอดรักระหว่างหญิงชาย...สุดท้ายเมื่อความรักจางจืด หรือมีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง ความเข้าใจผิด ความโกรธ เสียใจ แล้วคนสองคนก็เดินหันหลังให้กัน...เพลงโศกเศร้าสะท้อนอารมณ์สูญเสีย...กลายเป็นบรรยากาศที่ประทับใจ สื่อสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงรุ่นใหม่ โดยเนื้อหารายละเอียดมากมายถูกตัดหายไป ด้วยเหตุผลที่ว่า “สื่อโทรทัศน์หรือภาพยนตร์” เหล่านี้ มีเวลา (ราคาแพง) ที่จำกัด จึงจำเป็นต้องตัดทอนบางส่วน (ที่สำคัญ) ออกไป แต่เนื้อหาที่สื่อออกมาสู่สายตาคนรุ่นใหม่ในประเทศไทย คือการแสดงออกของความรักว่าเป็นเรื่องธรรมดา การเดินจูงมือกันตามถนน บนศูนย์ การค้าต่าง ๆ หรือการกอดจูบตามสวนสาธารณะเป็นพฤติกรรมของคนรักกัน ตลอดจนการมีเพศสัมพันธ์เมื่อคบหากันเป็นเรื่องของธรรมชาติ โดยไม่ได้ระแวดระไวถึงปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อมที่อาจเกิดขึ้นและตามมา และนั่นคือพัฒนาการของความสัมพันธ์ระหว่างเพศในสังคมไทยที่เน้นเรื่องเพศสัมพันธ์ หรือกิจกรรมทางเพศ (เซ็กซ์) เป็นสำคัญ  ดังในกรณีของหญิงชายข้างบนนี้


นั่นคือ...ทั้งสองคบหากันรักกันและมีเพศสัมพันธ์กันด้วยความสมัครใจ โดยไม่ต้องปิดบังหรือเก็บงำพรหมจรรย์ไว้จนถึงวันเวลาที่สมควร ซึ่ง “เซ็กซ์” อาจจะเป็นเงื่อนไขหลักสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ไม่ต้องอาศัย “เสน่ห์ปลายจวัก” หรือ “จะดูช้างให้ดูหาง จะดูนางให้ดูที่แม่...” ไม่จำเป็นต้องมีผู้ใหญ่มาเกี่ยวข้อง ขอเพียงให้มีเธอกับฉันเท่านั้นก็พอ!


เพราะฉะนั้นเมื่อทุกอย่างเริ่มอย่างง่าย ๆ ระหว่างคนสองคน พอมีปัญหาเกิดขึ้นเรื่องก็จะจบลงอย่างง่าย ๆ โดยฝ่ายที่เสียใจ ทุกข์ใจ รับไม่ได้ มักเป็นฝ่ายหญิง โดยเฉพาะเมื่อมีเรื่อง “เซ็กซ์” เข้ามาเป็นเงื่อนไข ฝ่ายหญิงมักจะโทษตนเองและมองว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด มักง่าย ไม่ตอบสนองต่อความต้องการของฝ่ายชาย ไม่ทำให้ผู้ชายมีความสุข จนถึงเป็นผู้ทำลายความรักของฝ่ายชาย เธอจึงรู้สึกเหมือนตัวเอง “ไม่มีคุณค่า” จนไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร เพราะการกระทำของตนเอง
!


นี่คือความรู้สึกขัดแย้ง หรือปัญหาบุคลิกภาพขัดแย้ง ที่เกิดขึ้นกับคนรุ่นใหม่ในสังคมสมัยใหม่ที่ถูกพัดพา (แทนการพัฒนา) หรือลมเพลมพัดตามวัฒนธรรมตะวันตกที่นำเสนอเพียงด้านเดียว คนไทยจึงมองเห็นและคัดลอกเฉพาะด้านเดียวที่ฉาบฉวย เช่น เข้าใจว่าสิทธิความเสมอภาคทางเพศ หมายถึงผู้หญิงผู้ชายสามารถแสดงออกของพฤติกรรมทางเพศได้เหมือนกัน โดยไม่ตระหนักรู้หรือทำความเข้าใจในรายละเอียดของวัฒนธรรมประเพณีไทย ที่แตกต่างจากวัฒนธรรมความเชื่อและสถานการณ์ในประเทศตะวันตกนั้น ๆ

 

โดยเฉพาะ “ภาษา” ที่ใช้ เช่น “ความเสมอภาคทางเพศ...เพศในที่นี้ไม่ได้หมายความถึงกิจกรรมทางเพศ หรือเพศสัมพันธ์ แต่หมายรวมถึงความเสมอภาคหรือสิทธิที่เท่าเทียมกันระหว่างผู้หญิงผู้ชายหรือเพศหญิงเพศชาย” ที่สำคัญคือในความเสมอภาคระหว่างหญิงชาย จำเป็นต้องมีความเคารพในการตัดสินใจของทั้งสองฝ่าย เมื่อฝ่ายชายคิดว่าตนเองมีเกียรติมีศักดิ์ศรี ก็ต้องเข้าใจว่าฝ่ายหญิงก็มีเกียรติมีศักดิ์ศรีด้วยเช่นกัน หากมีความผิดพลาดบกพร่องในกรณีที่เหมือนกัน ก็ต้องได้รับการยอมรับที่เสมอกัน


กรณีหนุ่มสาวคู่นี้ ระหว่างที่รักและคบหากันมีเพศสัมพันธ์กัน ยอมรับกันและกันได้ แล้วก็เลิกร้างกันโดยที่ต่างก็ไม่รู้ว่า ทั้งสองคนจะหันกลับมาคบหากันอีก การจากกันครั้งนี้ในหลายกรณีฝ่ายชายมักเป็นคนไปมีใหม่ แต่ไม่ใช่กรณีนี้ที่ฝ่ายหญิงกลับเป็นฝ่ายพบชายใหม่ แล้วมีเพศสัมพันธ์กันไม่ต่างจากที่เคยมีกับคนแรก นั่นคือเมื่อไม่รู้อนาคต และการคบหามีเพศสัมพันธ์กัน ฝ่ายหญิงสาวคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา จึงถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่การหลอกลวง ทรยศ หรือไม่ซื่อตรงต่อคนแรก จนเมื่อเธอตัดสินใจเลิกคนที่สองกลับมาหาคนแรกและคบหากันใหม่ก็เหมือนการเริ่มต้นใหม่ ฝ่ายชายจึงต้องให้ความเคารพในการตัดสินใจของฝ่ายหญิง ไม่จำเป็นต้องไปค้นหาความผิดของฝ่ายหญิง โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าเธอมีเซ็กซ์กับคนที่สอง  ก็เป็นเรื่องความสมัครใจส่วนตัวของเธอ และได้ยุติความสัมพันธ์ไปแล้วไม่ใช่คบหากับทั้งสองชายในเวลาเดียวกัน แต่เหตุการณ์กลายเป็นว่าฝ่ายชายโกรธและทำใจยอมรับฝ่ายหญิงไม่ได้ นั่นสะท้อนความเชื่อของฝ่ายชายในเรื่องที่ตัวเขาต้องการเป็น “คนแรกและคนสุดท้าย” สำหรับฝ่ายหญิง จะเห็นว่า ทั้งสองคนแสดงพฤติกรรมที่ดู “นำสมัย” หรือพฤติกรรมที่คนรุ่นใหม่มีความเชื่อ คือการมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงานเป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อฝ่ายายรู้ว่าผู้หญิงเคยมีความสัมพันธ์กับชายอื่น (คนที่สอง) มาแล้ว ฝ่ายชายกลับขัดแย้งในสิ่งที่ตนแสดง คือรับไม่ได้!


ฝ่ายหญิงก็เช่นกัน เธอลืมมองไปว่า เธอเองมีสิทธิ์ในการตัดสินใจว่าจะมีเพศสัมพันธ์กับคนแรก เมื่อแรกคบกัน  และเลิกร้างกันไป ต่อมาจึงมีความสัมพันธ์กับชายคนที่สองด้วยความสมัครใจและด้วยความพอใจในการตัดสินใจของตนเองในช่วงที่ไม่มีคนแรกแล้ว ซึ่งชายคนที่สองก็ไม่ได้ละเมิดความเป็นส่วนตัวด้วยการไปค้นหาความผิดของเธอ    เพราะฉะนั้นชายคนแรกก็ต้องให้เกียรติฝ่ายหญิงและเคารพในการตัดสินใจของเธอด้วยเช่นกัน 

ฝ่ายหญิงจึงไม่จำเป็นต้องไปรับผิดหรือกล่าวหาลงโทษว่าตนเองไม่ดี เพราะเธอไม่ได้ทำลายความรักความภักดี ของผู้ชายคนนี้ การที่เขาปฏิเสธเธอ สะท้อนให้เห็นว่า เขาให้ความสำคัญกับเซ็กซ์หรือกิจกรรมทางเพศกับเธอมากกว่าคุณความดีหรือความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเขาและเธอ หากความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชายเริ่มต้นด้วยการไม่เคารพในเกียรติและศักดิ์ศรีของกันและกัน โดยเฉพาะกรณีที่ฝ่ายหญิงรู้สึกว่าฝ่ายชายยอมรับอดีตของเธอไม่ได้ในตอนนี้ โอกาสที่เธอจะตกเป็นจำเลยของเขาในอนาคตและในเรื่องอื่น ๆ ยังรออยู่ข้างหน้าอีกมาก


แน่นอน เธอรู้สึกเสียใจและละอายใจในสิ่งที่ตนเองได้ทำไป แต่พฤติกรรมนั้นเกิดขึ้นในช่วงที่เธอมีอิสระ  ในช่วงที่เธอไม่ได้มีคนรักแรก เธอไม่ได้ทรยศ ไม่ได้หักหลัง เธอเป็นผู้ใหญ่ตัดสินใจได้เองแล้วว่าจะมีเซ็กซ์กับใคร และเธอยุติความสัมพันธ์กับชายคนที่สองแล้ว เมื่อกลับมาหาเขาเพื่อเริ่มต้นกันใหม่....ทว่า...การที่เขาไม่ต้องการเธอในวันนี้ ไม่ได้หมายความว่าเธอกลายเป็นคนไร้ค่า คุณค่าของเธอยังคงอยู่ เพียงแต่เธอจะต้องทำใจให้กล้าหาญ และก้าวต่อไปให้ได้อย่างทรนง แม้ว่าจะต้องเจ็บปวดจนหัวใจแทบแหลกสลาย แต่...จงบอกกับตัวเองไว้เสมอว่า “...หากใครไม่เห็นคุณค่าของตัวเรา เขาก็ไม่ควรจะต้องมีเรา ก็...เท่านั้นเอง!


กลับด้านบน